จากรายงานการวิจัยเรื่อง ‘การศึกษาบริบทที่เกื้อหนุนต่อพฤติกรรมเชิงบวกในการเรียนและการมีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของกลุ่มนักเรียนช้างเผือก’ (2566) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ และคณะ ซึ่งได้รับทุนการวิจัยสนับสนุนจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า บริบทที่เกื้อหนุนต่อพฤติกรรมเชิงบวกในกลุ่มนักเรียนช้างเผือกนี้ล้วนมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กทั้งสิ้น เช่น ห้องเรียน ครู ผู้ปกครอง และบุคคลสำคัญในชีวิตของพวกเขา ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ มุมมอง และการดำเนินชีวิต รวมไปถึง ความใฝ่ฝันของพวกเขาในอนาคต
จากการเก็บข้อมูลการวิจัยจากนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนช้างเผือก (หมายถึง นักเรียนในโครงการของ กสศ. ที่มีผลการสอบ PISA for Schools ปี 2564 ที่ได้คะแนนดีอย่างน้อย 1 รายวิชา) จำนวน 24 คน รวมไปถึงเพื่อนร่วมชั้นเรียน 24 คน โดยให้เด็กเหล่านี้เขียนเรียงความอย่างอิสระ เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของตนเองผ่านรูปแบบ narrative journal ภายใต้หัวข้อ ‘ความกลัว ความฝัน และความหวังในชีวิต’ ซึ่งข้อเขียนต่างๆ ได้สะท้อนความคิดและตัวตนของกลุ่มนักเรียนและเพื่อนร่วมชั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างชัดเจน อันแสดงให้เห็นถึงสภาวะอันเกิดจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและสังคม
การเขียนเรียงความเช่นนี้มีความน่าสนใจไม่น้อย เมื่อเด็กเหล่านี้ได้แสดงเสรีภาพในการคิดและฝันถึงตัวเองในอนาคต บนพื้นฐานความคิดแบบเติบโต แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกังวลว่า ความฝันเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เกินเอื้อมและเป็นไปไม่ได้ อันเกิดจากความกลัว แต่ก็เป็นเงื่อนไขหนึ่งในชีวิตที่สามารถช่วยนำพาพวกเขาไปถึงจุดนั้นได้
“ความฝันเปรียบเหมือนแรงผลักดันให้ฉันมีความพยายาม ตั้งใจ และอดทน เพื่อที่จะสานฝันของฉันให้เป็นจริง”
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ เด็กเหล่านี้ล้วนให้ความสำคัญกับอาชีพในอนาคตของพวกเขา เพื่อการมี ‘ชีวิตที่ดี’ และมีความ ‘มั่นคง’ อันเป็นการผลิตซํ้าค่านิยมในสังคม เช่น เพื่อความสมบูรณ์ของชีวิต ครอบครัวไม่มีความลำบาก และเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ เป็นต้น
นอกจากการเขียนเรียงความแล้ว งานวิจัยยังกำหนดให้เด็กจำนวน 44 คน วาดภาพเล่าเรื่องซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างมาก โดยทางทีมวิจัยจะคัดเลือกเพื่อทำการสัมภาษณ์ต่ออีกครั้ง ความน่าสนใจของภาพวาดเหล่านี้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดอันก้าวหน้า บนกรอบความคิดแบบเติบโตของเด็กกลุ่มช้างเผือก อันสืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองร่วมสมัย
ตัวอย่างเช่น อุดมการณ์ทางการเมืองในการสร้างสังคมแบบใหม่ ในฐานะที่พวกเขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคมได้ โดยนักเรียนคนหนึ่งมีความใฝ่ฝันอยากเป็น ‘ครูข้ามเพศสอนวิชาภาษาไทย’ พร้อมเหตุผลว่า
“ต้องการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของสังคมไทยที่มองว่า ครูต้องมีเพศสภาพที่ตรงกับเพศกำเนิด และครูต้องปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง ทั้งคำพูดและการแต่งกาย”
ขณะที่เด็กกลุ่มช้างเผือกอีกคนหนึ่งและเพื่อนร่วมชั้นได้สะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสังคมในประเด็น ‘ความไม่เท่าเทียม’ และ ‘ความเหลื่อมลํ้า’ ในเชิงเศรษฐกิจจากตัวชี้วัดที่เกิดจากฐานะและรายได้ ไปจนถึงความเป็นอยู่ที่ทำให้เราทุกคนไม่เท่ากัน โดยระบุว่า
“ผมอยากให้เด็กทุกคนได้มีโอกาสที่เท่ากันในทุกด้าน”
ส่วน ‘ความเหลื่อมลํ้าทางเพศ’ ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ของเด็กกลุ่มนี้ เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่พวกเขาหยิบยกขึ้นมาเล่า ซึ่งผลจากการเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) มักทำให้พวกเขาถูกกระทำจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เป็นนักเรียนชาย โดยเด็กผู้มีความหลากหลายทางเพศรายหนึ่ง กล่าวว่า
“เพื่อนผู้ชายห้องหนู เค้าจะไม่ค่อยชอบเพศที่สาม… เวลาหนูนึกถึงความเหลื่อมลํ้า หนูนึกถึงเรื่องการทำงาน การสมัครงาน เค้าก็จะรับชายจริงหญิงแท้ก่อนที่ (จะ) มาเลือก LGBTQ อย่างเราค่ะ”
กิจกรรมการวาดภาพระบายสีนี้ ได้เผยให้เห็นทัศนคติและความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อสังคมที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งล้วนมาจากภาวะแวดล้อมรอบตัว จนก่อให้เกิดการเรียนรู้และเติบโตขึ้นของเด็กกลุ่มช้างเผือกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมลํ้าทางสังคมที่พวกเขาสังเกตเห็นได้ หลายสิ่งเป็นประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบเจอด้วยตนเอง เช่น ความเหลื่อมลํ้าทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมลํ้าทางเพศ โดยพวกเขาประมวลออกมาเพื่อแสดงเจตจำนงในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมที่ถวิลหา
แม้ว่ากลุ่มนักเรียนช้างเผือกและเพื่อร่วมชั้นจะแสดงถึงความกังวล ความกลัว และความใฝ่ฝัน ทว่า สิ่งเหล่านั้นกลับกลายเป็นแรงขับด้วยความคิดเติบโต อันจะนำพาพวกเขาไปสู่อนาคตที่ดีกว่า
อ้างอิง:
- รายงานการวิจัยเรื่อง ‘การศึกษาบริบทที่เกื้อหนุนต่อพฤติกรรมเชิงบวกในการเรียนและการมีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของกลุ่มนักเรียนช้างเผือก’ (2566) โดย ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ และคณะ