กระแสการย้ายประเทศที่กำลังเป็นที่พูดถึงของเพจ ย้ายประเทศกันเถอะ ที่ขณะนี้เปลี่ยนชื่อเพจเป็น โยกย้าย มาส่ายสะโพก โยกย้าย V2 จากเทรนด์ดังกล่าวทำให้แฮชแท็ก #ย้ายประเทศกันเถอะ ติดเทรนด์ Twitter และ Facebook จนกลายเป็นแรงกระเพื่อมให้ใครหลายๆ คนมีความหวังในการย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในประเทศที่ตนใฝ่ฝัน แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้ใครหลายคนหมดหวัง เพราะอุปสรรคทางภาษาที่ไม่อาจมองข้ามได้
บทความนี้จึงนำเสนอเทคนิคและหลักการเรียนภาษาให้ประสบความสำเร็จจาก ลิเดีย มาโชวา (Lýdia Machová) ที่ปรึกษาด้านภาษา (Language Mentor) ผู้ที่สามารถสื่อสารได้ถึง 9 ภาษา และเป็นผู้ที่เชื่อว่า ภาษาไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์ ซึ่งเธอนำเสนอผ่านรายการ TED เดือนตุลาคม ปี 2018
เลิกอ่านตำราสอนภาษาที่น่าเบื่อ แล้วหันไปหาวิธีที่สนุกกว่า
“บางคนอาจคิดว่า มันก็ดีนะที่สนุกไปกับการเรียนภาษา แต่เคล็ดลับที่แท้จริงของคนที่รู้หลายภาษาก็คือ พวกเขามีพรสวรรค์ แต่พวกเราไม่มีนี่”
ลิเดียเล่าถึงคำพูดที่หลายๆ คนมักตัดพ้อ และคิดว่าเหล่าผู้ชำนาญภาษาทั้งหลาย เก่งได้เพราะมีพรสวรรค์ แต่สำหรับเธอแล้วการจะเก่งภาษาได้เกิดจากการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสำคัญ
เธอเล่าว่า จากการที่ได้พบปะเหล่าผู้หลงใหลในภาษาเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการเรียนภาษาของแต่ละคน ซึ่งวิธีต่างๆ ที่ลิเดียได้เรียนรู้จากคนกลุ่มนี้ก็คือ บ้างเริ่มเรียนรู้จากการเลียนเสียง บ้างเริ่มจากการท่องคำศัพท์เป็นประจำทุกวัน หรือบ้างเริ่มโดยศึกษาไวยากรณ์ก่อน
ลิเดียได้ยกตัวอย่างวิธีการของ ‘เบนนี่’ เพื่อนอีกคนที่เธอพบในงานแลกเปลี่ยนภาษา ลิเดียเล่าว่า เบนนี่มาจากประเทศไอร์แลนด์ เขาเคยเรียนภาษาเยอรมันที่โรงเรียนมาแล้ว 5 ปี แต่เมื่อเรียนจบ เขากลับพูดภาษาเยอรมันไม่ได้เลย จนทำให้เขาคิดว่า “คงเป็นเพราะเขาไม่มียีนเก่งภาษา” แต่ถึงอย่างนั้นเบนนี่ก็ไม่หมดหวัง เขายังอยากพูดและสื่อสารภาษาเยอรมันได้ เขาจึงเริ่มหาวิธีการเรียนในแบบของตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือ การพูดกับเจ้าของภาษาและเรียนรู้จากคำชี้แนะ
เบนนี่เริ่มเรียนภาษาจากหนังสือสอนภาษาท่องเที่ยวก่อนที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ต่างๆ และเริ่มสนทนากับคนท้องถิ่น เบนนี่ไม่สนว่าเขาจะพูดผิดหรือพูดถูกตามหลักไวยากรณ์แค่ไหน แต่เขาเรียนรู้จากคำชี้แนะของเจ้าของภาษาโดยตรง และนี่เป็นวิธีการเรียนรู้ของเขา ที่ทำให้ปัจจุบันเบนนี่สามารถพูดได้ถึง 10 ภาษาเลยทีเดียว
ถึงอย่างนั้นในยุคสมัยที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงผู้คนได้ง่ายมากขึ้น ลิเดียมองว่านั่นอาจทำให้เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปในที่ไกลๆ อย่างสมัยก่อน หากแต่สามารถเรียนรู้และพูดคุยกับเจ้าของภาษาผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ต่างๆ ได้
ทั้งนี้ ลิเดียได้กล่าวถึงวิธีการเรียนรู้ของตัวเธอเองด้วยเช่นกัน
ลิเดียเล่าว่า เธอชอบเรียนภาษาต่างประเทศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนที่เธอกำลังเรียนภาษาสเปน เธอเลือกที่จะไม่เรียนจากตำรา เพราะรู้ดีว่าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เธอสนุกไปกับการเรียนรู้อย่างแน่นอน เธอจึงเริ่มเรียนรู้ภาษาสเปนผ่านการอ่านนิยายอย่าง แฮร์รี พอตเตอร์ ซึ่งเป็นหนังสือที่เธอโปรดปราน และอ่านมาแล้วหลายรอบอย่างไม่รู้เบื่อ วิธีการของเธอจึงผนวกสิ่งที่ชอบ ประกอบการอ่านหนังสือนิยายที่เธอรักเข้าด้วยกัน นั่นจึงทำให้การเรียนภาษาของเธอสนุกมากยิ่งขึ้น แม้จะไม่เข้าใจในครั้งแรก แต่หากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มซึมซับและพอเข้าใจเนื้อหาขึ้นมาได้
เธอยังชี้แนะอีกว่า หากใครหลายคนไม่ชอบฟังบทเรียนที่แสนน่าเบื่อจากตำรา ก็สามารถดู YouTube หรือฟัง Podcast ในภาษาที่สนใจได้ หรือหากใครมีคนโลกส่วนตัวสูง และไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้าหรือเจ้าของภาษา ก็สามารถพูดกับตัวเองได้ในห้อง โดยอาจบรรยายถึงสิ่งที่จะทำในช่วงสุดสัปดาห์ หรือเล่าว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีที่ผู้รู้หลายภาษาหลายคนมักทำกัน
ดังนั้นสำหรับเธอและเพื่อนๆ ผู้หลงใหลในภาษา จึงไม่ได้มองว่าที่พวกเขาเก่งนั้นเป็นเพราะพรสวรรค์ หากแต่ “พวกเราไม่ใช่อัจฉริยะ พวกเราไม่มีทางลัดในการเรียนภาษา เราแค่เจอหนทางที่จะสนุกไปกับการเรียน เปลี่ยนการเรียนภาษาจากวิชาเรียนที่น่าเบื่อ ไปเป็นกิจกรรมแสนสนุก ที่คุณไม่เกี่ยงที่จะทำในทุกๆ วัน” ลิเดียกล่าว
หลัก 3 ประการ สู่ความสำเร็จทางภาษา
จากกระบวนการและวิธีการต่างๆ ทำให้ลิเดียเชื่อว่า การหาความสนุกในการเรียนภาษาถือเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่จะไม่ประสบความสำเร็จทางภาษาได้หากขาดหลักการ 3 ข้อที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ
ข้อแรก: ทำซ้ำ
ลิเดียกล่าวว่า การจดจำคำศัพท์เพื่อเอาไปสอบ แต่ผ่านไปแค่ 2-3 วันก็อาจลืมได้ ดังนั้นหากต้องการจดจำศัพท์ให้ได้นานก็คือ การทบทวนคำศัพท์นั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมา โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นช่วยได้ เช่น Anki หรือ Memrise หรือจะเป็นการเขียนศัพท์ลงในสมุดบันทึกอย่างวิธี Goldlist โดยจดคำศัพท์ที่ตนสนใจไว้ในสมุดประมาณ 25 คำ หลังจากนั้น 2 อาทิตย์ กลับมาทวนอีกครั้งเพื่อทดสอบว่ายังสามารถจำได้อยู่หรือไม่ และทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้สามารถจำศัพท์ดังกล่าวได้ในระยะยาว เป็นต้น
ข้อสอง: จัดรูปแบบการเรียน
ลิเดียกล่าวว่า เราสามารถแบ่งเวลาได้ ถ้ามีการวางแผนล่วงหน้า เธอยกตัวอย่างการตื่นเช้ากว่าปกติสัก 15 นาที เพื่อทบทวนคำศัพท์ หรือแม้แต่ฟัง Podcast ระหว่างขับรถ ลิเดียบอกอีกว่า Podcast เป็นตัวช่วยชั้นดีที่จะเสริมทักษะด้านการฟัง ดังนั้นสำหรับเธอแล้วหากรู้จักจัดการรูปแบบการเรียนเช่นนี้ได้ จนกระบวนการเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จทางภาษาได้
ข้อสาม: อดทน
ลิเดียย้ำว่า เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเรียนและสื่อสารภาษานั้นๆ ได้ทันทีภายใน 1-2 เดือน ทว่าหากค่อยๆ เรียนรู้อย่างอดทน เราจะเห็นพัฒนาการของตัวเองอย่างแน่นอน
ความพยายามทุ่มเทให้กับการเรียนภาษาของแต่ละคน ย่อมใช้เวลาที่มากน้อยต่างกัน แต่หากเริ่มเรียนรู้ด้วยความรู้สึกสนุกในแบบของตัวเองจนเกิดประสิทธิผล ก็จะพบพรสวรรค์ทางภาษาที่เราอาจไม่เคยพบมาก่อน แต่ทั้งนี้ต้องมีความอดทน ไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการเรียนรู้ เพียงเพราะคิดว่ายากเกินไป หรือคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ทางภาษา การลองพยายามและค้นหาวิธีการเรียนรู้ที่สนุกในแบบของตัวเอง จะทำให้เรากลายเป็นผู้ที่รู้หลายภาษาได้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
อ้างอิง
Ted.com