ดังนั้น โจทย์ใหญ่สำหรับในระบบการศึกษาและห้องเรียน จึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเด็กนักเรียนให้มีกรอบความคิดแบบ growth mindset ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และต้องเริ่มต้นบ่มเพาะตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะเริ่มจากทุกสถาบันที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์อยู่ ทั้งสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา
แม้โรงเรียนและครอบครัวจะมุ่งพัฒนากรอบความคิดแบบ growth mindset ให้แก่เด็กอย่างสุดความสามารถ แต่ในกรณีเด็กยากจนนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเด็กยากจนมักมีทักษะในการเรียนรู้หรือสามารถทำคะแนนสอบต่ำกว่านักเรียนที่ไม่ยากจน โดยสาเหตุสำคัญคือการขาดกรอบความคิดแบบ growth mindset ที่ส่งผลโดยตรงต่อทักษะและทัศนคติในการเรียนรู้ของเด็ก
คำนิยามของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อปี 2555 ได้ให้คำนิยามของ ‘ความยากจน’ หรือ ‘คนจน’ ว่าไม่ใช่เป็นเพียงผู้ที่มีรายได้น้อยหรือขัดสนทางเศรษฐกิจเท่านั้น ความยากจนยังหมายรวมถึงความยากจนเชิงโครงสร้างที่เกิดจากความขัดสนในหลายๆ ด้าน ทั้งการเข้าถึงสิทธิ ทรัพยากร บริการสาธารณะ อำนาจการต่อรอง ฯลฯ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น การขาดที่ดินทำกิน การขาดทรัพยากรต่างๆ และการขาดการศึกษาหรือการได้รับการศึกษาน้อย
จากการสำรวจของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในปี 2564 พบว่าปัญหาที่เด็กยากจนในประเทศไทยต้องเผชิญและส่งผลต่อการขาดแคลนการศึกษา มี 3 ประเด็นหลัก คือ การไม่ได้เข้าเรียนตามเกณฑ์ การออกจากระบบการศึกษากลางคัน และการที่เด็กไม่ได้เรียนต่อ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีสาเหตุมาจากความไม่พร้อมของครอบครัวที่ยากจน
ปัญหาทางการศึกษาที่เด็กยากจนไทยต้องเผชิญ ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนากรอบความคิดแบบ growth mindset จากอุปสรรคและปัญหาหลายประการที่เด็กยากจนต้องเผชิญ ทำให้เด็กขาดความเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะของตนเองได้ เมื่อเจอกับอุปสรรคก็มีแนวโน้มจะยอมแพ้ได้ง่าย และมองไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา เนื่องจากมองว่าไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตตัวเอง ส่งผลทำให้เด็กยากจนมีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กที่มีกรอบความคิดแบบตายตัวหรือ fixed mindset ได้สูง
นอกจากนี้ ความยากจนยังส่งผลโดยตรงต่อการศึกษาและการเสริมสร้างกรอบความคิดแบบ growth mindset ของเด็กยากจนใน 6 มิติ ได้แก่ มิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม มิติสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มิติสุขภาพและภาวะโภชนาการ มิติทางพื้นที่และภูมิลำเนา และมิติการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
มิติทางเศรษฐกิจ: เมื่อการศึกษามีราคาที่ต้องจ่าย
ความยากจนในมิติที่เห็นได้ชัดมากที่สุดคือ ความยากจนทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัญหาทางเศรษฐกิจจะนำไปสู่ข้อจำกัดในการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย ในครอบครัวที่มีรายได้น้อย ผู้ปกครองต้องออกไปทำงาน โดยไม่มีใครคอยเลี้ยงดูเด็กนั้น จะส่งผลโดยตรงต่อการเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาของเด็ก และจากการที่ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานโดยไม่มีเวลาให้กับเด็ก จึงทำให้เด็กใช้เวลาว่างที่บ้านอย่างไร้คุณภาพ ไม่มีกิจกรรมใดที่ส่งเสริมต่อการสร้าง growth mindset ให้กับเด็ก
ปัญหาทางเศรษฐกิจยังส่งผลโดยตรงต่ออุปกรณ์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก เช่น หนังสือ นิทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งเสริมทักษะในการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานของเด็ก โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและ UNICEF ชี้ว่าจำนวนหนังสือสำหรับเด็กที่มีในบ้านสัมพันธ์กับฐานะของครัวเรือน โดยเด็กในครอบครัวยากจนที่มีหนังสือสำหรับเด็กอยู่ในบ้านตั้งแต่ 3 เล่มขึ้นไป มีอยู่เพียงร้อยละ 14.4 เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้เด็กยากจนมีทักษะการอ่านและการคำนวนพื้นฐานต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับเด็กที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า
นอกจากนี้ ปัญหาทางเศรษฐกิจยังทำให้ครอบครัวไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของเด็กได้ ส่งผลให้เด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาและเข้าสู่ตลาดแรงงานตั้งแต่เด็ก เด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจึงไม่ได้ผ่านการเรียนรู้และฟูมฟักกรอบความคิดแบบ growth mindset ในแบบที่ควรจะเป็น และการที่ผู้ปกครองต้องเอาเวลาไปทำงานหาเงินเลี้ยงชีพและจุนเจือครอบครัวยังทำให้เด็กมองไม่เห็นคุณค่าทางการศึกษา เพราะมองว่าการศึกษาไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อชีวิตอีกด้วย
มิติทางสังคม: เมื่อเด็กไม่สามารถเลื่อนสถานภาพทางสังคม วัฏจักรจากรุ่นสู่รุ่น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษามีส่วนสำคัญต่อการขยับสถานะสังคม รากฐานของการศึกษาที่ดีจะส่งผลให้เกิดทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ หากประเทศมีจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานเพิ่มมากขึ้นย่อมทำให้สัดส่วนคนจนลดลง
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเด็กยากจนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาตั้งแต่เยาว์วัย เด็กเหล่านี้ย่อมจะขยับสถานะทางสังคมได้อย่างยากลำบาก เมื่อถึงวันที่เด็กเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่และมีครอบครัวย่อมทำให้มีอุปสรรคในการให้การศึกษาแก่บุตรหลานของตนเอง และท้ายที่สุดบุตรหลานของตนเองก็ต้องหลุดจากระบบการศึกษาเช่นเดียวกับตน
นอกจากนี้ ในการสร้างเสริมกรอบความคิดแบบ growth mindset สิ่งสำคัญคือสถาบันครอบครัว ผู้ปกครองจำเป็นจะต้องมี growth mindset ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากเด็กยากจนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาและเติบโตไปเป็นผู้ปกครองในครอบครัวที่ยากจน ก็มีแนวโน้มที่จะขาด growth mindset ทำให้ไม่มีความเชื่อในเรื่องการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาทักษะความสามารถของตนเอง และมองไม่เห็นคุณค่าทางการศึกษา ผลที่ตามมาจึงกลายเป็นการส่งต่อ fixed mindset แบบรุ่นสู่รุ่น
มิติสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้: เมื่ออะไรๆ ก็ไม่เป็นใจให้ Growth Mindset เติบโต
ความยากจนในครอบครัวส่งผลโดยตรงต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กที่ไม่เอื้อต่อการศึกษาและการเรียนรู้ เช่น อาจอยู่ในชุมชนหรือบ้านพักที่ติดกับสถานที่ที่มีเสียงดังรบกวน การขาดแคลนไฟฟ้า การมีพื้นที่คับแคบ การอยู่ในครอบครัวที่แออัด สภาพแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งการอ่านหนังสือ การทำการบ้าน หรือเด็กอาจมีภารกิจต้องช่วยผู้ปกครองทำงาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียน
นอกจากนี้ แม้เด็กยากจนจะสามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้ แต่ก็อาจต้องเผชิญกับคุณภาพการศึกษาที่ต่ำ เช่น การเข้าเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลนอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเรียนการสอน หรือไม่มีเทคโนโลยีในการเสริมสร้างการเรียนรู้ของเด็ก รวมถึงครูอาจมีทัศนคติในการปฏิบัติต่อนักเรียนยากจนอย่างไม่เหมาะสม
มิติสุขภาพและภาวะโภชนาการ: เมื่อท้องยังไม่อิ่ม ก็ไร้ซึ่งพลังกายและพลังใจในการเรียนรู้
เด็กในครอบครัวยากจนนั้น มีความเสี่ยงที่จะมีภาวะเตี้ยแคระแกร็น และภาวะผอมมากกว่าเด็กในกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่า รายได้อันจำกัดของครอบครัวยากจนทำให้เด็กเหล่านี้ไม่ได้รับอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเพียงพอ ปัญหาที่พบบ่อยๆ คือเด็กในยากจนเหล่านี้อาจไม่ได้รับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้เมื่อเด็กต้องไปเข้าห้องเรียนตั้งแต่เช้าถึงเย็น
การขาดสารอาหารและไม่ได้รับโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยย่อมส่งผลต่อคุณภาพการเรียน เนื่องจากเด็กจะขาดซึ่งพลังกายและพลังใจที่จะประคับประคองให้ตัวเองเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งการนั่งฟังครูตลอดคาบ การนั่งทำการบ้าน การทำข้อสอบ หรืออาจส่งผลถึงขั้นไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาต่อไปได้
มิติทางพื้นที่และภูมิลำเนา: เมื่อความยากจนผูกติดกับพื้นที่
เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดีมักถูกส่งเข้าไปเรียนในเมือง ส่วนเด็กยากจนส่วนใหญ่จะต้องเรียนอยู่ในพื้นที่ชนบท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบริบทความยากจนในเชิงพื้นที่ของสังคมไทย เมื่อโรงเรียนและการศึกษาที่ดีกระจุกตัวอยู่ในเมือง ซึ่งตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า จึงปิดโอกาสให้เด็กยากจนในการได้รับการศึกษาที่ดีด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ อาชีพของผู้ปกครองยังสัมพันธ์กับการได้รับการศึกษา เช่น ผู้ปกครองที่ประกอบอาชีพขายแรงงานในภาคเกษตรกรรมมักส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนเขตชนบทซึ่งมีคุณภาพการศึกษาที่ต่ำกว่าโรงเรียนในเมือง ซึ่งในระยะยาวเด็กกลุ่มนี้ย่อมมีโอกาสน้อยลงในการจะศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานที่เด็กได้รับนั้นไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
มิติการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล: เมื่อความเหลื่อมล้ำอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว
ปัจจุบันการเรียนการสอนในโรงเรียนมีการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ส่วนเสริม แต่ยังเป็นส่วนหลักในการเรียนการสอนด้วย ซึ่งเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างทักษะและกรอบความคิดแบบ growth mindset ให้กับเด็กได้
ทว่าเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้มีราคาที่ต้องจ่าย เด็กยากจนนั้นย่อมเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ในการเข้าถึงโลกดิจิทัลเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนคอมพิวเตอร์ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การเรียนการสอนในช่วงปี 2563-2564 ที่ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นห้องเรียนออนไลน์มากยิ่งขึ้น ก็ทำให้เด็กยากจนต้องเผชิญอุปสรรคในการเรียน หรือแม้กระทั่งการหลุดออกจากระบบการศึกษา
แนวทางการช่วยเหลือเด็กยากจน สร้างคนให้เติบโตอย่างมี Growth Mindset
จะเห็นได้ว่าปัญหาในมิติต่างๆ ที่ผูกติดกับความยากจนนั้น ล้วนส่งผลให้เด็กยากจนพัฒนากรอบความคิดแบบ growth mindset ได้ยาก เมื่อความยากจนเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแนวทางสนับสนุนและช่วยเหลือเด็กยากจน
ในปัจจุบันทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมุ่งให้ความสำคัญต่อการช่วยเหลือเด็กยากจนในแนวทางและรูปแบบที่แตกต่างกัน ซึ่งการช่วยเหลือเด็กยากจนให้ครอบคลุมทุกมิติอาจสามารถทำได้ 6 แนวทาง ดังนี้
1. การสร้างระบบส่งต่อนักเรียน นักศึกษา เพื่อไม่ให้หลุดออกจากระบบในช่วงรอยต่อของการศึกษา
2. การทำงานร่วมกับครอบครัวของเด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนต่อ และทำให้เห็นคุณค่าของการศึกษา
3. สร้างเครือข่ายสังคมดูแลและช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยง
4. สนับสนุนและให้กำลังใจเด็กกลุ่มเสี่ยงและเด็กนอกระบบให้มีมุมมองบวกต่อตัวเอง และส่งเสริมให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาในอนาคต
5. พัฒนาเด็กยากจนด้วยการออกแบบแผนการเงินและตั้งเป้าหมายในการปลดหนี้
6. สร้างทางเลือกทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิตของเด็กและตอบสนองต่อความไม่แน่นอนในอนาคต
อ้างอิง
รายงานการวิจัยเรื่อง ‘การศึกษาบริบทที่เกื้อหนุนต่อพฤติกรรมเชิงบวกในการเรียนและการมีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของกลุ่มนักเรียนช้างเผือก’ (2566) โดย ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ และคณะ