สืบเนื่องจากไวรัส COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดในสังคมไทยเวลานี้ นับได้ว่าเป็นการแพร่ระบาดระลอกที่ 3 แล้ว และถึงเวลากลับมาปัดฝุ่นเครื่องแบบนักเรียนพร้อมกับโหลดแอพพลิเคชั่นการศึกษาทางไกลกันอีกครั้ง เมื่อศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ไฟเขียวให้กระทรวงศึกษาธิการเลื่อนวันเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2564 จากวันที่ 1 มิถุนายน ออกไปเป็นวันที่ 14 มิถุนายน แทน
ก่อนที่วันเปิดเทอมใหญ่จะกลับมาอีกครั้ง ยังคงมีข้อสงสัยถึงความพร้อมของระบบในการจัดการบริหาร ว่ามีความพร้อมจริงหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องที่มักถูกดูเบากว่าปัญหาอื่นๆ อย่างการจัดการสถานการณ์ความเครียดของผู้เรียนและความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยกลุ่มโรคทางจิตเวชภายใต้การศึกษาแบบ New Normal ว่าปัจจุบันสถานการณ์เป็นไปอย่างไรกันแน่
การสำรวจในมิติของสุขภาพจิต ความเครียด ความกดดัน และภาวะซึมเศร้าของผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษานั้น ถึงแม้จะยังไม่ค่อยถูกฉายสปอตไลท์ลงไปเมื่อเทียบกับปัญหาอื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาให้เห็นเป็นดอกเห็ดอย่างความเหลื่อมล้ำและความยากจน กระนั้นก็ไม่ควรมองข้ามหรือละเลย เพื่อให้การพัฒนาการศึกษาก้าวไปข้างหน้าต่อไปได้ วันนี้จึงมีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อฉายให้เห็นมิติปัญหาดังกล่าว และสร้างความกระจ่างว่าปัญหาสุขภาพจิตสำคัญต่อการศึกษาอย่างไร
ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมกำลังตึงเครียดจากโรคระบาด สุขภาพจิตสำคัญอย่างไรกับการพัฒนาทุนมนุษย์
จริงๆ เรื่องสุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกายในด้านความสำคัญต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ เพราะหากจิตใจของมนุษย์ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติสมบูรณ์ก็ย่อมส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่เช่นกัน หากเรามองเรื่องของทุนมนุษย์ตามนิยามเศรษฐศาสตร์ในแง่ของการสั่งสมปัจจัยภายในต่างๆ ของมนุษย์อันจะนำไปสู่ชีวิตที่ดี มีความสุขสมบูรณ์ โดยเฉพาะปัจจัยอันเป็นผลพวงจากการลงทุนด้านการศึกษา การฝึกทักษะอบรมต่างๆ หรือด้านสุขภาพ ซึ่งมักจะแสดงให้เห็นว่าบุคคลที่มีระดับการศึกษาที่สูงกว่าหรือได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพดีกว่า มักจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าผู้ที่ได้รับการศึกษาน้อยกว่า
ประเด็นข้างต้นเป็นแนวคิดที่คนทั่วไปมักจะพูดถึงกัน แต่เรามักจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของสุขภาวะทางจิตที่จะส่งผลต่อความสำเร็จของชีวิตมากนัก ไม่ค่อยมีการนำปัจจัยทางสุขภาพจิตมาทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน แม้แต่การสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลก็มีน้อย คนในแวดวงการศึกษาหรือโรงเรียนเองก็ยังให้น้ำหนักต่อข้อมูลชุดอื่นๆ เช่น เกรด คะแนน ผลสัมฤทธิ์ หรือข้อมูลสุขภาพทางกาย เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง มากกว่าข้อมูลสุขภาพจิตของเด็ก เช่น ความกังวล ความเครียด ภาวะซึมเศร้า การทำร้ายตนเอง หรือการฆ่าตัวตาย
ในประเทศไทย การให้ความสำคัญกับครูแนะแนวหรือนักจิตวิทยาโรงเรียนก็ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับโรงเรียนในยุโรปหรือสหรัฐ ยกตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกามีนักจิตวิทยาในโรงเรียนทั้งหมดจำนวนกว่า 30,000 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 1 คน ต่อเด็ก 1,400 คน ซึ่งเขามองว่ายังมีนักจิตวิทยาโรงเรียนน้อยเกินไปด้วยซ้ำ (สมาคมนักจิตวิทยาโรงเรียนของสหรัฐ ระบุว่าควรจะมี 1 ต่อ 1,000 และในแต่ละโรงเรียนไม่ควรน้อยกว่า 1 คน ต่อเด็ก 500-700 คน) ในขณะที่ประเทศไทยมีนักจิตวิทยาโรงเรียนซึ่งทำงานอยู่ในระดับเขตพื้นที่การศึกษาจำนวน 225 เขตเท่านั้น อาจจะเพราะทัศนคติของสังคมไทยแต่เดิมที่ยังคงมองว่าการพึ่งพานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ คนอาจจะไม่เห็นว่าสำคัญหรือไม่กล้าไปขอรับคำปรึกษา กลัวถูกคนอื่นมองไม่ดี ทั้งที่ความจริงแล้วควรจะเป็นเรื่องปกติเวลาที่เรามีความเครียด กังวล หรือมีภาวะซึมเศร้า เราก็สามารถไปหานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ได้ เหมือนไปหาหมอหรือหาวิธีรักษาโรคอื่นๆ แต่ปัจจุบันนี้ทัศนคติมีแนวโน้มค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ปัญหาสุขภาวะทางจิตของเยาวชนในสังคมไทย มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยหรือไม่
แน่นอนว่ามีความเหลื่อมล้ำในเรื่องนี้อยู่แล้ว เช่น ทำไมนักเรียนบางคนถึงสามารถเข้าถึงโรงเรียนที่มีทรัพยากรหรือมีระบบการดูแลป้องกันสุขภาพต่างๆ ได้มากกว่า หรือสามารถเข้าถึงนักจิตวิทยาและครูแนะแนวที่ดีกว่าโรงเรียนอื่นๆ ในขณะที่เด็กยากจนอาจไม่มีโอกาสเข้าถึงการบริการแบบนี้ เพราะโรงเรียนของเขาไม่มีทรัพยากรให้ อย่างที่ได้กล่าวไปว่าทั้งประเทศไทยอาจจะมีนักจิตวิทยาโรงเรียนที่ทำงานกับโรงเรียน สพฐ. จำนวนไม่มากนัก หรือทำงานกับเขตพื้นที่การศึกษาแห่งละคนเท่านั้น ในขณะที่โรงเรียนเอกชนบางแห่งหรือโรงเรียนนานาชาติมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียน มีการลงทุนในเรื่องนี้สูงกว่า ไม่รวมถึงปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม ความรุนแรง หรือยาเสพติด ซึ่งมักเกิดกับเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนหรือด้อยโอกาสมากกว่าเด็กที่เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีความพร้อมต่างๆ ในชีวิต ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่มีฐานะดีกว่าจะไม่มีปัญหาสุขภาวะทางจิต แต่โอกาสในการได้รับการดูแลก็ถือว่ายังดีกว่าเด็กที่ยากจนและด้อยโอกาสอยู่มาก
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 การเก็บข้อมูลค่อนข้างเยอะว่าเด็กในกลุ่มวัยรุ่นต้องเจอสภาพปัญหา mental health มากกว่าวัยอื่น เพราะเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจจากการเป็นเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ธรรมชาติของนักเรียนในช่วงวัยนี้ต้องการการยอมรับจากเพื่อนๆ ต้องการแสวงหาเอกลักษณ์ของตน แต่เมื่อต้องเจอกับปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้พวกเขาไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ แบบที่วัยรุ่นมักจะต้องทำ การต้องนั่งอยู่หน้าจอคนเดียววันละหลายๆ ชั่วโมง ความกังวลต่อการเรียน การสอบต่างๆ ความเครียดจึงค่อยๆ เกิดขึ้น บางคนอาจต้องเผชิญปัญหาสภาวะเศรษฐกิจ บางคนต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว หรือความเครียดจากการที่สมาชิกครอบครัวต้องมาอาศัยอยู่รวมกันในบ้านเป็นเวลายาวนานกว่าปกติ ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบไปสู่ความสามารถในการเรียน
กล่าวได้ว่าการเรียนออนไลน์นั้นอาจไม่ตอบโจทย์กับสุขภาวะทางจิตเท่าไรนัก เพราะการที่ต้องจดจ่ออยู่ที่หน้าจอนานๆ จะยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสภาวะซึมเศร้าและอาจเกิดความเครียดสะสมเรื้อรังได้ง่าย
ในสหรัฐอเมริกามีข้อมูลจากการสำรวจนักเรียนมัธยมปลายจากกลุ่มตัวอย่าง 1,400 คน พบว่า 1 ใน 3 ไม่มีความสุข มีสภาวะซึมเศร้า ข้อมูลสถิติจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ของสหรัฐยังพบว่า หลังเกิด COVID-19 เด็กอายุ 5-11 ปี และอายุ 12-17 ปี ต้องเข้าห้องฉุกเฉินอันเป็นผลจากอาการทางจิต เช่น โรคแพนิค (Panic) วิตกกังวล (Anxiety) เพิ่มขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ และ 31 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบว่า การมีความคิดในการฆ่าตัวตาย (suicidal thought) ในกลุ่มวัยรุ่นก็มีสูงขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับช่วงก่อนการล็อคดาวน์ ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยก็อาจจะไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่ผมยังไม่เคยเห็นตัวเลขเหล่านี้
ปัญหาสุขภาวะทางจิตในเด็ก มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยไหม
มีส่วนอยู่บ้าง เพราะเด็กที่มีปัญหาความเครียด ความกังวล สภาวะซึมเศร้าต่างๆ จะส่งผลไปสู่ความสามารถในการเรียน หากเมื่อสภาพปัญหายังคงดำเนินต่อไปจนเด็กเกิดความท้อแท้ที่จะเรียนหนังสือ ไม่อยากไปเรียน เพราะเครียด กดดัน หรือเรียนไม่ทันคนอื่น ก็จะส่งผลต่อแรงจูงใจในการเรียนต่อ โดยเฉพาะในเด็กกลุ่มที่มีสภาวะเปราะบางหรือมีปัญหาทางเศรษฐกิจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการหลุดออกจากระบบการศึกษาได้
นอกจากนั้นหากเด็กไม่ได้รับการดูแลปัญหาความเครียดที่ดีพอ ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น ยาเสพติด พฤติกรรมต่อต้านสังคม หรือไปคบเพื่อนฝูงที่เกเร สุดท้ายอาจทำให้ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ตามเป้าหมายทางการศึกษาที่เคยตั้งเอาไว้แต่แรกได้อีกด้วย
ปัญหาด้านสุขภาวะทางจิตของเด็กในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 นี้ยังสามารถเกิดขึ้นได้จากความเครียดที่เกิดจากการปรับสภาพแวดล้อมทางการเรียนที่เปลี่ยนไป การเรียนแบบระยะไกลนั้นอาจจะได้ผลดีกับเด็กบางกลุ่มที่ชอบความเป็นอิสระ และสามารถทำงานหรือศึกษาหาความรู้ด้วยจังหวะของตนเองได้ดีกว่าการนั่งเรียนในห้อง ขณะที่เด็กอีกกลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่าหลายเท่า ชอบการเรียนการสอนแบบได้เจอกันในห้องมากกว่า ซึ่งนักเรียนกลุ่มนี้อาจเกิดความเครียดและกดดันตนเองหนักขึ้นเมื่อต้องเรียนแบบ New Normal
ในฝั่งของครูผู้สอนเอง มีปัญหาความเครียดและสุขภาวะทางจิตอย่างไรบ้างจากการที่ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบออนไลน์
โดยทั่วไปครูเองก็มีความเครียดเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากต้องเตรียมการสอนแบบทางไกล ซึ่งหลายคนอาจจะไม่ถนัด การต้องปรับตัวกับการใช้เทคโนโลยี การไม่สามารถที่จะได้เจอตัวเด็กจริงๆ การต้องพูดคนเดียวหน้าจอนานๆ การไม่ได้พบปะเพื่อนร่วมงาน หรือการที่ต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจของตนเองหรือคนในครอบครัวอันเนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสมได้
ตัวครูเองก็พยายามหาแนวทางการสอนเพื่อไม่ให้ทั้งตัวครูและเด็กมีความเครียดมากเกินไป ผมเห็นบางโรงเรียนที่ครูใช้วิธีให้แต่ละคนเล่าความรู้สึกต่างๆ ก่อนเรียน เพื่อเช็คสุขภาวะทางจิตของแต่ละคน ไปจนถึงการจัดหาช่องทางการติดต่อระหว่างครูและเด็กเพิ่มขึ้น ซึ่งก็เป็นวิธีการที่ขึ้นอยู่กับความถนัดและเหมาะสมของครูแต่ละคน เครื่องมือสำหรับการเรียนการสอนแบบออนไลน์เพื่อเพิ่มทักษะเหล่านี้ก็พอจะมีช่องทางอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันครูเองก็ต้องมีความรู้และความสามารถในการแสวงหาหรือนำมาปรับใช้ให้ได้ผลด้วย
ผมเพิ่งได้คุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนหลายแห่งในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงยาวนานกว่าหลายจังหวัด เพื่อร่วมกันหาทางสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อฟื้นฟูการเรียนของนักเรียนที่หายไป (learning loss) นอกจากการฟื้นฟูเรื่องวิชาการแล้วก็ยังมีการคุยถึงประเด็นการฟื้นฟูสภาพจิตใจของทั้งเด็กและครูมากขึ้น เช่น การฝึกฝนให้ครูมีแนวทางในการติดตามสุขภาพจิตของเด็ก หรือการเสริมกำลังนักจิตวิทยาโรงเรียน อาจจะมีช่องทางการรับฟังเสียงสะท้อนของนักเรียนทั้งก่อนและหลังการเรียน เราคงพูดได้ว่าทางฝั่งครูเองก็พยายามหาทางออกอย่างใส่ใจกับสภาพสุขภาวะทางจิตเพิ่มขึ้นหลังจากเราต้องอยู่กับ COVID-19 มากว่า 1 ปี และอาจจะต้องอยู่กันต่อไปอีกสักพัก
ทั้งนักเรียนและครูใส่ใจสุขภาวะทางจิตมากขึ้น ทางฝั่งผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ผมคิดว่ากรมสุขภาพจิตก็พยายามจัดโปรแกรมในการทำงานกับโรงเรียนมากขึ้น เช่น การทำแอพพลิเคชั่น HERO สำหรับใช้ประเมินคัดกรองสุขภาพจิตของนักเรียนในเบื้องต้น ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรมสุขภาพจิตกับ สพฐ. หรือมีความพยายามในการจัดหลักสูตรอบรมสั้นๆ ให้ครูประจำชั้นมีสมรรถนะในการเป็นนักจิตวิทยาโรงเรียนได้ ซึ่งผมมองว่าเทรนด์นี้กำลังเป็นไปในเชิงบวก เพราะเริ่มมีการพูดถึงจิตวิทยาในโรงเรียนกันมากขึ้น เช่น แนวคิด Positive Psychology การส่งเสริม Growth Mindset มีความพยายามในการแก้ปัญหาการกลั่นแกล้งหรือ bullying ในโรงเรียนมากขึ้น หรือการเน้นความสำคัญเรื่องทักษะอารมณ์สังคม (socioemotional skills) ของนักเรียน แต่ที่ประเทศเรายังมีนักจิตวิทยาโรงเรียนน้อยนั้นอาจเป็นเพราะในอดีตเรายังไม่เห็นความสำคัญมากพอ ซึ่งโดยหลักการแล้วควรมีนักจิตวิทยาโรงเรียน 1 คน ต่อ 1 โรงเรียนด้วยซ้ำ ตรงนี้จึงทำให้กระบวนการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยยังมีน้อยกว่าประเทศตะวันตก แต่ก็อาจจะเป็นเพราะสังคมตะวันตกเขามีปัญหาที่รุนแรงมาก่อนเราก็เป็นได้ เช่น ในอเมริกามีปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนค่อนข้างมาก เช่น มีการกราดยิงในโรงเรียนต่างๆ เขาจึงค่อนข้างให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้
การที่ประเทศไทยมีความใส่ใจในด้านสุขภาวะทางจิตยังไม่มากพอ ก็ยิ่งทำให้การลงไปเก็บข้อมูลมีน้อยตามไปด้วย หลายโรงเรียนยังไม่สามารถประเมินออกมาได้ชัดเจนด้วยซ้ำว่ามีเด็กของตนเองจำนวนเท่าไหร่ที่มีสภาวะทางจิตอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ขณะที่ประเทศตะวันตกมีเครือข่ายการป้องกันและระบบการจัดการปัญหาเหล่านี้ได้ดีกว่าเรา ส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาสำรวจข้อมูลค่อนข้างสม่ำเสมอและมีแนวทางการช่วยเหลือที่ชัดเจน
เอาเข้าจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าจะมีเฉพาะประเทศตะวันตกหรือมีทรัพยากรสูงที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ กรณีของประเทศบังคลาเทศ ซึ่งมีเด็กและครัวเรือนที่ยากจนเป็นจำนวนมาก นักเรียนส่วนมากไม่มีสมาร์ทโฟน รวมถึงมีเด็กผู้ลี้ภัยโรฮิงญา โดยองค์กรที่ชื่อว่า BRAC ซึ่งเป็นหนึ่งใน NGO ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ร่วมกับหน่วยงานทางสุขภาพจิตของประเทศ จัดทำโครงการนักจิตวิทยาทางโทรศัพท์ โดยให้ครูพี่เลี้ยงที่ได้รับการอบรมด้านจิตวิทยาโทรไปหาเด็กหรือผู้ปกครองประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง หรืออาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อเช็คสภาพความเป็นไปในชีวิต และจะมีแนวทางการพูดคุยที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก เน้นการรับฟังปัญหา การช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงการมีสายด่วนที่สามารถโทรไปปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตได้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน (โครงการ Moner Jotno Mobile E สำหรับสุขภาพจิตคนทั่วไป และโครงการ Pashe Achhi สำหรับการดูแลเด็กในช่วง COVID-19 รวมถึงเด็กในค่ายอพยพโรฮิงญา)
ในประเทศไทย โมเดลแบบไหนที่น่าจะเหมาะสมกับบริบทการศึกษาของบ้านเรา
ในระยะสั้นผมมองว่า โรงเรียนควรตระหนักถึงความสำคัญต่อปัญหาสุขภาพจิตของนักเรียนให้มากขึ้น เพราะการเปิดเทอมครั้งนี้นักเรียนบางคนอาจจะไม่ได้มีสุขภาพจิตที่ปกติเหมือนเดิม โดยเฉพาะเด็กในกลุ่มเสี่ยง กลุ่มด้อยโอกาส ที่อาจจะมีปัญหาซ้อนทับอื่นๆ เช่น รายได้ของครัวเรือนที่ลดลง ภาระพึ่งพิงที่มากขึ้น บุคลากรของโรงเรียนเองก็ต้องมีการพัฒนาศักยภาพของตนในการเข้าไปช่วยประกบนักเรียนที่มีปัญหา หากโรงเรียนไหนสามารถจัดหาตำแหน่งนักจิตวิทยาโรงเรียนมาได้ก็ควรทำ หากโรงเรียนไหนทำไม่ได้ก็อาจจะต้องเพิ่มความสามารถของเครือข่ายครูแนะแนวให้มากยิ่งขึ้น หรือหาเครือข่ายโรงเรียนเพื่อมาทำงานร่วมกัน
การสร้างระบบส่งต่อระหว่างโรงเรียนกับหน่วยงานสาธารณสุขในท้องถิ่นเองก็จำเป็นอย่างยิ่ง พูดง่ายๆ ว่าการจัดการโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับปัญหาสุขภาวะทางจิตของนักเรียนควรได้รับการเสริมแรงให้มากขึ้น เพื่อให้การกลับมาเรียนในภาคการศึกษาหน้ามีความพร้อมมากขึ้น
อีกประการหนึ่งคือ ควรมีแนวทางหรือคู่มือเฉพาะสำหรับเด็กหรือครูที่ชัดเจนว่า ควรทำอย่างไรหากเกิดปัญหาสุขภาวะทางจิต หากนักเรียนที่มีปัญหาดังกล่าวเข้ามาปรึกษาแล้วจะได้รับทางออกอย่างไร หากมีปัญหาความเครียดหรือความกังวล มีความคิดจะทำร้ายตนเองเกิดขึ้น ควรทำอย่างไร หรืออย่างน้อยก็สามารถแนะนำได้ว่าให้โทรไปที่ศูนย์ hotline เบอร์ไหน หากมีปัญหาการเงินหรือเศรษฐกิจควรติดต่อที่ไหน หรือแม้แต่หากเห็นเพื่อนของตนเองมีปัญหาสุขภาวะทางจิตหรือมีความเสี่ยงต่างๆ เราควรจะปฏิบัติตนอย่างไรที่จะช่วยเหลือเพื่อนคนดังกล่าวได้บ้าง ซึ่งแนวทางเหล่านี้จริงๆ แล้วหลายโรงเรียนก็คงมีการดำเนินการอยู่ แต่อาจไม่ได้มีทุกโรงเรียนที่เอาจริงเอาจังในการรับมือ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกโรงเรียนจัดทำแผนหรือแนวทางดังกล่าวให้พร้อมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน
นักวิชาการด้านการศึกษาจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไรได้บ้างในการดูแลสุขภาวะทางจิตของเด็ก
ผมคิดว่าน่าจะต้องเริ่มมองให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาวะทางจิตมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าปัญหาด้านอื่น โดยเฉพาะนักการศึกษาที่มีความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาทักษะทางอารมณ์สังคม (socioemotional learning) ของนักเรียน หรือคนที่มีความเข้าใจในเรื่องจิตวิทยาเด็กหรือวัยรุ่น เพราะถ้าประเทศมองว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ จำนวนบุคลากรที่ทำงานตรงนี้หรือตำแหน่งงานด้านนี้ก็คงจะต้องมีเพิ่มขึ้น ที่จริงแล้วถ้าหากเราสามารถทำให้ทุกคนเห็นได้ว่าปัญหาเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน และมีหน่วยงานเจ้าภาพที่จัดการปัญหาอย่างจริงจัง ก็อาจจะมีคนที่สนใจจะเข้าไปทำงานตรงนี้เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน ถ้าเราใช้สูตรเดียวกับในอเมริกาที่แนะนำว่าควรมีนักจิตวิทยาโรงเรียน 1 คน ต่อนักเรียน 1,000 คน ประเทศไทยอาจจะต้องมีนักจิตวิทยาโรงเรียนจำนวน 5,000-7,000 คนเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ อยากฝากอะไรถึงนักการศึกษา ครู นักเรียน หรือผู้กำหนดนโยบายด้านการศึกษากับสุขภาวะทางจิตบ้าง
ผมอยากให้ทุกคนมองว่าปัจจัยด้านสุขภาวะทางจิตเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปัจจัยอื่นๆ เช่น ปัจจัยด้านสุขภาพกาย ผลการเรียน หรือเงื่อนไขอื่นที่จะส่งผลต่อความสำเร็จของชีวิต สุขภาพจิตของนักเรียนถือว่ามีความสำคัญที่คนในวงการศึกษาควรมองให้เห็นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ยิ่งซ้ำเติมให้ปัญหาดังกล่าวที่มีมานานอยู่แล้วยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น
ยุค COVID-19 เรื่องของสุขภาวะทางจิตอาจจะมีความสำคัญมากกว่าที่เคยเป็นมาในยุคสมัยก่อนหน้า การหมั่นตรวจสอบและดูแลคนรอบตัวทั้งฝั่งครูและนักเรียนนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากขึ้น เมื่อถึงเวลาเปิดเทอมครูจะต้องตรวจเช็คสภาพจิตใจของเด็กว่ายังปกติอยู่ไหม ต้องการความช่วยเหลืออย่างไร หน่วยงานและบุคลากรทางการศึกษาต้องทำงานประสานความร่วมมือกับหน่วยงานทางสาธารณสุขและหน่วยงานที่สนับสนุนด้านสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น