เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้วที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสมาคมนานาชาติเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา (International Association for the Evaluation of Educational Achievement หรือ IEA) แต่นอกจากการวัดผลในห้องเรียนแล้ว การวัดผลความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกส่งผลต่อการเรียนอย่างไร มาหาคำตอบไปพร้อมกัน
หัวข้อที่ดูจะสะดุดใจผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นอย่างมาก คือการจัดทำแบบสำรวจที่นำผู้ปกครองมาเกี่ยวข้องด้วย ในการวัดผลนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ทัศนคติต่อการอ่านของผู้ปกครองส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทัศนคติการอ่านของเด็ก เปรียบเทียบระหว่างผู้ปกครองที่ยื่นของเล่นกับยื่นหนังสือให้เด็ก ส่งผลต่อคะแนนความฉลาดรู้ด้านการอ่าน (Reading literacy) ของเด็กที่แตกต่างกันอย่างมาก เป็นการย้ำเตือนว่า หลายครั้งเราอาจจะให้ความสำคัญกับคุณครูและโรงเรียน แต่ลืมสอนไปถึงผู้ปกครองให้ช่วยสร้างการเรียนรู้ของเด็กไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความคาดหวังต่อตัวผู้ปกครองที่มีต่อเด็ก ซึ่งเห็นความต่างในวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกและตะวันออกอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศเนเธอแลนด์ หากเด็กออกไปเล่นนอกบ้านหรือเล่นกีฬาบ้าง ผู้ปกครองก็มีความสุขแล้ว แต่ฝั่งครอบครัวชาวเอเชีย ยังคงคาดหวังให้ลูกประสบความสำเร็จด้านการเรียนจนสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้
อีกหนึ่งเรื่องปัญหาคลาสสิกของโลกคือการแบ่งเพศ ตั้งแต่ปี 1995 ที่ IEA ได้จัดทำโครงการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Trends in International Mathematics and Science Study หรือ TIMSS) ผลสำรวจจากทุกประเทศพบว่า เด็กผู้ชายจะทำผลงานด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ดีกว่าเด็กผู้หญิง ในทางตรงกันข้าม เด็กผู้หญิงจะทำคะแนนด้านการอ่านได้ดีกว่าผู้ชาย แต่เรื่องที่น่าดีใจคือ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เด็กผู้หญิงเริ่มทำคะแนนวิชาคำนวณตีตื้นเด็กผู้ชายได้มากขึ้น
“จะดีมากถ้าในอีก 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือชายสามารถทำผลงานได้ดีพอ ๆ กัน ไม่มีช่องว่างระหว่างเพศ และไม่ควรมีการเหมารวมว่าวิชาไหนเหมาะกับเพศใด ทุกวิชาควรเหมาะกับทุกคน” ดร.แอนเดรียแนะว่า การลดช่องว่างตรงนี้ต้องเริ่มจากผู้ปกครองที่บ้าน อยากให้พ่อแม่ลองยื่นของเล่นประเภทเลโก้หรือรถคันจิ๋วให้ลูกสาวดูบ้าง จะช่วยให้เด็ก ๆ พัฒนาความสามารถด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ไวขึ้น
PISA กับ IEA ต่างกันอย่างไร?
หากคุณผู้อ่านคุ้นเคยกับ PISA หรือ การประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment) โดย OECD เราจะพามารู้จักกับการวัดผลจาก IEA กันบ้าง
ดร.แอนเดรีย เล่าให้ฟังว่า เป็นเวลากว่า 60 ปีแล้วที่สถาบันวิจัยแห่งนี้ ทำงานวิจัยวัดผลระบบการศึกษานับร้อยรูปแบบทั่วโลก แม้จะเริ่มต้นมาจากกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ในการออกแบบชุดคำถาม ได้มีหลากหลายประเทศเข้ามาช่วยกันคิด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีความลำเอียงทางวัฒนธรรม การวัดผลจะจัดทำขึ้นทุก 4 ปี โดยยึดตามระดับชั้น (Grade-based) คือระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (Grade 4) และมัธยมศึกษาปีที่ 2 (Grade 8) ซึ่งผลสำรวจจะมีความเชื่อมโยงกับการวางหลักสูตรของประเทศโดยตรง ต่างจาก PISA ที่วัดผลตามอายุ (Age-based) ของนักเรียนอายุ 15 ปีจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกทุก 3 ปี โดยเด็กอาจจะอยู่ในระดับชั้นที่แตกต่างกันได้
อย่างไรก็ตาม การวัดผลด้านการศึกษาไม่ได้ทำเพื่อจัดอันดับประเทศว่า ใครดีหรือแย่ที่สุดในโลก แม้ตัวเลขที่ดูดีมักจะถูกนักการเมืองหยิบยกไปพูดถึงก็ตาม แต่ดร.แอนเดรียอยากแสดงให้ผู้กำหนดนโยบายหรือนักวิจัยได้เห็นว่า ข้อมูลที่ถูกเก็บมาเป็นอย่างดีสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่เหมาะสมกับประเทศได้
IEA วัดผลเรื่องอะไรบ้าง?
ปัจจุบัน IEA มีการวัดผลทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Mathematics and Science Study) ความฉลาดรู้ด้านการอ่าน (Reading literacy) การศึกษาเพื่อสร้างความเป็นพลเมือง (Civic and Citizenship Education) และ ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy)
เทรนด์การศึกษาของโลกได้เปลี่ยนไปจากการเน้นเฉพาะด้านวิชาการ มาเป็นการเสริมทักษะและสุขภาวะของเด็กนักเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลาที่โลกหยุดชะงักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การตั้งคำถามในแบบสำรวจของ IEA ก็เปลี่ยนไป เป็นการให้ความสนใจต่อทัศนคติของเด็กมากขึ้น เช่น ความรู้สึกที่มีต่อตนเอง คุณครู และโรงเรียน ประสบการณ์ส่วนตัวว่าเคยถูกบูลลี่หรือไม่ รวมทั้งประสบการณ์การใช้อุปกรณ์ดิจิทัลต่าง ๆ
ข้อความสำคัญที่ดร.แอนเดรียต้องการฝากไปถึงผู้กำหนดนโยบายคือ “Data is out there” ข้อมูลด้านการศึกษามีอยู่เต็มไปหมดในปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อมูลวิจัยระดับนานาชาติอย่าง IEA หรือ PISA ที่เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะแบบไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากดาต้าเบสจำนวนมหาศาล ยังมีเครื่องมือและการอบรมที่ช่วยให้บุคลากรทางการศึกษาเอาไปใช้ได้ง่ายมากขึ้น ข้อมูลอินไซต์เหล่านี้จะช่วยให้พัฒนาการศึกษาได้อย่างตรงจุด และหวังว่าในอนาคต จะมีการเก็บข้อมูลของเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษาด้วยเช่นกัน