รายงานดังกล่าวบ่งชี้ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากโควิด-19 และยังมีอัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเร่งสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้รุนแรงขึ้น รายได้ครัวเรือนแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเหลือ 34 บาทต่อวัน ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ความยากจนในระดับนานนาชาติถึงวันละ 80 บาท
นอกจากนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายในการพัฒนา ‘ทุนมนุษย์’ โดยจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ทุนมนุษย์ในเด็กและเยาวชนวัยแรงงานตอนต้น อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งในเด็กปฐมวัยมีทักษะการฟังลดลง ขณะเดียวกันเยาวชนวัยแรงงานตอนต้นยังสูญเสียความพร้อมด้านอาชีพ โดยมีการประเมินว่าเด็กจากครัวเรือนยากจนสูญเสียทักษะ (Skill Loss) ลงไปมากถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ กสศ. จึงมีข้อเสนอแนะให้มีการออกแบบนโยบายและจัดสรรทรัพยากรใหม่ในการจัดการศึกษาเพื่อยุติวงจรความยากจนข้ามรุ่น
ดร.ไกรยส ชี้ให้เห็นว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 ประเทศมีการฟื้นตัวในลักษณะ K-shaped (K-shape Recovery) ซึ่งเป็นลักษณะของช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่ยิ่งถ่างกว้างมากขึ้น ที่สำคัญเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากมีปัญหาความยากจนและขาดการเข้าถึงโอกาสในหลายมิติเป็นทุนเดิม สถานการณ์โควิด-19 จึงกลายเป็นปัจจัยตอกย้ำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษารุนแรงมากขึ้น หากไม่เร่งช่วยเหลือเด็กและเยาวชนจากครัวเรือนเปราะบางเหล่านี้ ปัญหาจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีความพร้อมมากกว่า จะสามารถฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ได้มากกว่า และเด็กที่เข้าไม่ถึงโอกาสในการฟื้นฟูหรือหลุดออกจากระบบ จะกลายเป็นกลุ่มประชากรรุ่นที่สูญหายจากการเรียนรู้ (Lost Generation) การพัฒนาทุนมนุษย์ในวันนี้จึงต้องเปลี่ยนไปตามบริบทและเงื่อนไขใหม่ ดังนั้นต้องไม่ปล่อยให้เด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือไม่ได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพแม้แต่คนเดียว”
ดร.ไกรยส ระบุว่า ในปีการศึกษา 2566 ประเทศไทยมีจำนวนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษราว 1.8 ล้านคน โดย กสศ. สนับสนุนทุนเสมอภาคให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษ หรือยากจนระดับรุนแรง (Extremely Poor) จำนวน 1,248,861 คน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ตัวเลขยังไม่แตะหลักล้านคือ 994,428 คน ซึ่งความยากจนในระดับรุนแรงนับเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เด็กในกลุ่มนี้ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาได้ และจำต้องออกจากระบบการศึกษาไปในที่สุด
ทั้งนี้ จากการติดตามข้อมูลเส้นทางการศึกษาของนักเรียนจากครัวเรือนยากจนและยากจนพิเศษตั้งแต่ปี 2562-2566 มีข้อค้นพบ ดังนี้
1. ยิ่งการศึกษาระดับสูง โอกาสที่เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้จะได้เรียนต่อก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ ซึ่งในปีการศึกษา 2566 มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเพียง 1 ใน 10 คนเท่านั้นที่สามารถศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาได้สำเร็จ
2. ช่วงชั้นรอยต่อทางการศึกษา ถือเป็นช่วงเวลาวิกฤตที่เด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบมากที่สุด เพราะจำเป็นต้องย้ายสถานศึกษาในช่วงเปิดเทอมและต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก เช่น ค่าธรรมเนียมการสมัครเรียน ค่าเดินทาง หรือค่าเตรียมความพร้อมในการเรียนต่อ
ด้วยเหตุนี้ เด็กนักเรียนจากครัวเรือนยากจนและยากจนพิเศษจึงต้องเผชิญกับอุปสรรคจำนวนมาก จนในที่สุดต้องตัดสินใจที่จะไม่ไปต่อในเส้นทางการศึกษาแม้จะมีความต้องการแค่ไหนก็ตาม
จากการสำรวจยังพบอีกว่า ค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาคิดเป็น 12 เท่าของรายได้ครัวเรือนยากจนพิเศษ หรือราว 13,200-29,000 บาท ซึ่ง กสศ. ได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกนักเรียนยากจนพิเศษที่เข้าศึกษาต่อผ่านระบบ TCAS พบว่า ‘ทุนการศึกษา’ คือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินใจเรียนต่อ ขณะที่ค่าใช้จ่ายในระบบ TCAS ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับรายได้ของนักเรียนยากจนพิเศษ การสมัครแต่ละรอบ แต่ละสาขา ในระบบดังกล่าวนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังมีปัญหาเกี่ยวกับเงื่อนไขและข้อจำกัดของแหล่งทุนในการจ่ายเงิน โดยในบางกรณีทำให้นักเรียนไม่สามารถจ่ายค่าเทอมได้ทันตามช่วงเวลาที่กำหนด
ช่วงท้ายของการนำเสนอรายงานความเหลื่อมล้ำ ดร.ไกรยส มีข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับเป็นแนวทางการลงทุนในทุนมนุษย์ 4 ข้อ เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีหลักประกันโอกาสทางการศึกษา มีการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างเสมอภาค ช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีทุนมุษย์คุณภาพสูง พร้อมขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ อีกทั้งรัฐจะมีฐานภาษีที่กว้างขึ้นจากการเจริญเติบโตของรายได้คนไทยอย่างยั่งยืน และประเทศไทยจะสามารถยุติวงจรความยากจนข้ามรุ่น พร้อมก้าวสู่ประเทศรายได้สูงในที่สุด
ข้อเสนอเชิงนโยบายของ กสศ. มีรายละเอียด ดังนี้
1. ลงทุนในเด็กและเยาวชนตั้งแต่ระดับปฐมวัย (Invest Early) โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยจากครัวเรือนใต้เส้นความยากจน มุ่งเน้นการลงทุนที่ตัวเด็กและครัวเรือน รวมทั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
ควรวางระบบการพัฒนาทุนมนุษย์แบบวงจรปิด (Closed-Loop Human Development Model) มุ่งเน้นกระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน โดยไม่ปล่อยให้เกิดการสูญเสีย (Zero-waste)
2. ลงทุนให้ถูกกลุ่มเป้าหมายสำคัญของประเทศและด้วยวิธีการที่ชาญฉลาด (Invest Smartly) ประเทศไทยควรลงทุนในการสร้างระบบการศึกษาทางเลือก (Alternative Education) ที่มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์ชีวิตและครอบครัวของเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษาหลังสำเร็จการศึกษาภาคบังคับและขั้นพื้นฐานทุกๆ ปี
3. ลงทุนอย่างเสมอภาค (Invest Equitably) ให้ความสำคัญต่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนเป็นลำดับแรก พร้อมปรับเปลี่ยนเงื่อนไขทางบัญชีและการเงินของแหล่งทุนที่สามารถยืดหยุ่นได้
4. ลงทุนด้วยนวัตกรรมทางการเงินการคลังเพื่อการพัฒนาทุนมนุษย์ (Invest Innovatively) โดยใช้แรงจูงใจในการลดหย่อนภาษี 2 เท่า มาพัฒนานวัตกรรมความร่วมมือและนวัตกรรมทางสังคม เพื่อสนับสนุนการลงทุนพัฒนาทุนมนุษย์อย่างเสมอภาคและยั่งยืน หรือการใช้มาตรการกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal Policy) เพื่อสนับสนุนงบประมาณการลงทุนในทุนมนุษย์อย่างเสมอภาคและยั่งยืน รวมถึงมีการเหนี่ยวนำทรัพยากรจากตลาดเงินและตลาดทุน มาร่วมลงทุนในมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา และการลงทุนในทุนมนุษย์อย่างเสมอภาคและยั่งยืน