แม้ว่าภาครัฐจะพยายามจัดสรรทรัพยากรให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น แต่ละปีมีบัณฑิตที่ถูกผลิตออกมามากขึ้น ทว่าบัณฑิตที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานกลับอยู่ในภาวะว่างงานเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับความขาดแคลนในตลาดเฉพาะทาง จนเกิดคำถามว่า รัฐให้ความสำคัญกับการศึกษาในฐานะระบบที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจมากพอหรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือปัญหา Skill Disruption กล่าวคือ ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนจากระบบการศึกษากลายเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้หลังเรียนจบ อีกทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านคุณภาพยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม หากมองว่านี่คือภาระหน้าที่ของรัฐเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ของตลาดแรงงาน เช่น ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดค้นแนวทางแก้ปัญหาด้วย
โลกในปัจจุบันเป็นโลกแห่งนวัตกรรม จำเป็นต้องนำแนวคิดหรือวิธีการใหม่ๆ จากคนรุ่นใหม่มาพัฒนาต่อไป ดังเช่นโครงการ ‘Education Disruption Hackathon 2’ ที่เกิดจากความร่วมมือของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ Disrupt Technology Venture หรือโรงเรียนสอนนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการจากภาคเอกชน โดยโครงการนี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาเข้ามาแข่งขันกันพัฒนานวัตกรรม ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้นวัตกรรมสามารถใช้ได้จริง
โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาการศึกษา เนื่องจากฐานคิดและมุมมองของผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ตรงจะช่วยให้เห็นการแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่มีแนวทางชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งหากนวัตกรรมที่คิดขึ้นมานั้นได้รับการสนับสนุนก็จะช่วยให้ขยายผลได้ทั่วถึงมากขึ้น
การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงวิธีการและข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายภาครัฐที่มีระเบียบข้อบังคับทางราชการและขั้นตอนมากมายจนอาจเป็นอุปสรรคได้ กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ซีอีโอแห่งบริษัท KBTG จึงเสนอว่าควรใช้ ‘Design Thinking’ เข้ามาใช้ในกระบวนการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการศึกษา ตั้งแต่การระดมความคิดเห็น ไปจนถึงการทดลองใช้ในพื้นที่จริง เพื่อให้เข้าใจจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละฝ่าย โดยยึดเป้าหมายที่มีร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ
กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล มองว่า สิ่งที่ฝ่ายเอกชนควรให้ความสำคัญคือ การทดสอบและการวัดผลร่วมกัน เนื่องจากแบบจำลองนวัตกรรมก็เปรียบเสมือนกับแผนธุรกิจ เพราะบางครั้งเมื่อแผนธุรกิจถูกนำไปใช้กับตลาดจริงอาจล้มเหลวจนต้องเปลี่ยนแผนใหม่ทั้งหมด
เมื่อการทำธุรกิจต้องอาศัยความต้องการของตลาด การศึกษาก็ต้องอาศัยความต้องการของคนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาเป็นหลักเช่นกัน การทดสอบและแก้ไขซ้ำๆ จึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นในกระบวนการ Design Thinking โดยธรรมชาติ ดังนั้น ‘นวัตกร’ หรือผู้สร้างนวัตกรรม จึงต้องมีความหวังและกล้าเผชิญกับอุปสรรคอยู่เสมอ
การนำกระบวนการ Design Thinking มาปรับใช้กับความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
ขั้นแรก – การระดมความคิดเห็นทุกฝ่ายเพื่อทำความเข้าใจมุมมอง เป้าหมาย และภารกิจที่มีร่วมกันให้ชัดเจน
ขั้นที่สอง – สร้างจุดสนใจร่วมกัน เพราะถึงแม้จะมีข้อขัดแย้งกันบ้าง แต่หากยึดเป้าหมายและภารกิจอย่างชัดเจนแล้วหาจุดร่วมได้ จะทำให้ค้นพบแนวทางที่ดีในการทำงานร่วมกันได้เสมอ
ขั้นที่สาม – สร้างต้นแบบเพื่อแก้ปัญหา โดยการชั่งน้ำหนักข้อจำกัดของทั้งสองฝ่ายเพื่อหาวิธีการที่ทำให้การแก้ปัญหาก้าวต่อไปได้
และขั้นตอนที่สี่ – การสร้างแบบจำลอง โดยต้องสร้างให้เร็วที่สุดเพื่อนำไปใช้ทดลอง เนื่องจากการทดลองเป็นขั้นตอนสำคัญ เมื่อรวมกับการวัดผลที่มีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดต้นแบบของนวัตกรรมที่สามารถพัฒนาและขยายผลได้ต่อไป
นอกจากนี้ กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ย้ำด้วยว่า สิ่งที่นวัตกรควรคำนึงถึงคือ ‘ความยั่งยืน’ เพราะการศึกษาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงควรคำนึงถึงแผนระยะยาวที่จะช่วยให้นวัตกรรมนั้นเป็นสิ่งที่คนในพื้นที่สามารถใช้งานได้ต่อไปเมื่อนวัตกรไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้ว เช่น การออกแบบหลักสูตรโดยอาศัยพื้นที่ของชุมชนเองเป็นห้องเรียน ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรด้วยตัวเองต่อไป
การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนร่วมแก้ไขปัญหาการศึกษาจะช่วยให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมมากขึ้น ทำให้ปัญหาบางอย่างที่ต้องอิงกับบริบทของพื้นที่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุดมากขึ้น หรือปัญหาบางอย่างที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการเข้าถึงการศึกษาได้รับการพัฒนาและขยายผลมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อนวัตกรรมสามารถแก้ปัญหาการศึกษาได้ ผลประโยชน์ย่อมจะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนนั่นเอง