27 มกราคม ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้มีการเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 หลังก่อนหน้านี้มีการปิดสถานศึกษาในพื้นที่ควบคุมสูงสุดของการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ใน 28 จังหวัด โดยยังคงยกเว้นให้โรงเรียนในจังหวัดสมุทรสาครปิดทำการสอนอยู่ดังเดิม
การประกาศให้โรงเรียนกลับไปเปิดเรียนตามปกติ ในแง่หนึ่งนับว่าเป็นการลดอุปสรรคความไม่พร้อมในการจัดการเรียนการสอนแบบระยะไกลหรือแบบออนไลน์ของประเทศไทยไปได้ ดังผลสำรวจความพร้อมของอุปกรณ์การเรียนและคอมพิวเตอร์ของธนาคารโลก (World Bank) ที่เผยให้เห็นว่า เด็กในเขตเมืองมีความพร้อมกว่าร้อยละ 70 ขณะที่เด็กชนบทกลับมีความพร้อมเพียงร้อยละ 45 เท่านั้น
นอกจากนี้ การเรียนจากที่บ้านยังทำให้เด็กไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กในชนบทสูญเสียเวลาและโอกาสในการเรียนไปไม่น้อย อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดพัฒนาการทางสังคม เพราะเมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน เด็กก็ไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์กับหมู่เพื่อนได้ ผลกระทบนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกในกลุ่มเด็กที่มีความยากจน
วังวนปัญหาของเด็กในครอบครัวที่มีสถานะยากจน ในด้านหนึ่งการศึกษาอาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากสถานะยากจนได้ แต่ในอีกด้านหนึ่ง การศึกษาก็เป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งให้เด็กเหล่านี้ไม่สามารถหลุดจากวงจรความยากจนได้ เหตุเพราะมีช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมสูง
1
ตัวเลขอัตราความยากจนที่สูงขึ้นในทั้งสองปีนี้ นับเป็นสิ่งน่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากการเพิ่มสูงขึ้นของอัตราความยากจนในปีที่ผ่านมา (ปี 2541 2543 และ 2551) ล้วนเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจทั้งสิ้น ต่างกันกับในปี 2559 ที่ความยากจนเพิ่มมากขึ้นในทุกภูมิภาค ยกเว้นกรุงเทพมหานคร ส่วนปี 2560 ภาคใต้กลายเป็นภูมิภาคที่มีอัตราความยากจนสูงที่สุดเป็นครั้งแรก และต่อมาในปี 2561 อัตราความยากจนในภาคกลางและภาคใต้กลับรุนแรงกว่าปี 2557 เสียอีก
เหตุที่ทำให้ความยากจนเพิ่มมากขึ้นมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การจ้างงานในภาคการเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำ สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำของความมั่งคงที่สูง และการศึกษาคุณภาพต่ำ เป็นต้น แม้ประเทศไทยจะยังมีอัตราความยากจนอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับเส้นแบ่งความยากจนนานาชาติ (1.90 เหรียญสหรัฐต่อวัน) แต่ประเทศไทยกลับเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ประสบกับอัตราความยากจนสูงขึ้นอยู่หลายปีนับตั้งแต่ปี 2543
ผลจากการจัดการศึกษาที่ไม่เสมอภาคและเท่าเทียมยังส่งผลให้เด็กสูญเสียโอกาส เพราะเมื่อต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำมาตั้งแต่เด็ก ก็จะไม่สามารถพัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างเต็มที่ และเต็มไปด้วยข้อจำกัดอีกมากมาย อันจะนำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งในด้านรายได้และรายจ่าย
ในรายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นอีกว่า เด็กอายุ 6-14 ปี ในกรุงเทพมหานครมีจำนวนมากกว่าครึ่ง สามารถเข้าถึงโอกาสที่มีอยู่ได้อย่างสะดวก ในขณะที่ภูมิภาคอื่นๆ กลับมีเด็กที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในสัดส่วนที่ต่างกันอย่างมาก
และหากพิจารณาประกอบกับค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเฉลี่ยของภาคครัวเรือนในสถานศึกษาของรัฐ โดยเปรียบเทียบระหว่างครัวเรือนที่รวยกับครัวเรือนที่จน พบว่า ครัวเรือนที่จนต้องแบกรับภาระสูงกว่าครัวเรือนที่รวยถึงเกือบ 5 เท่าตัว กล่าวคือ ในขณะที่ครัวเรือนที่รวยแบกรับภาระเพียงร้อยละ 3 ของรายได้ แต่ครัวเรือนที่จนกลับแบกรับภาระมากถึงร้อยละ 14 ของรายได้
นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดของรายจ่ายการศึกษา จะเห็นว่า ครัวเรือนยากจนมีรายจ่ายที่สูงกว่าเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทางไปเรียน ค่าหนังสือ/ค่าอุปกรณ์การเรียน ไปจนถึงค่าเครื่องแบบนักเรียน มีเพียงแต่ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมเท่านั้นที่ครัวเรือนรวยมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าครัวเรือนยากจน โดยในขณะที่ครัวเรือนรวยจะมีรายจ่ายด้านค่าเล่าเรียนสูงที่สุด คิดเป็นปีละ 4,939 บาทต่อคน แต่ครัวเรือนยากจนกลับมีสิ่งที่ต้องจ่ายสูงสุดถึงปีละ 4,521 บาทต่อคน เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางไปเรียน
กล่าวคือ ครัวเรือนยากจนต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนเกือบเท่ากับค่าเล่าเรียนของครัวเรือนรวย เพียงเพื่อแค่ให้เด็กได้เดินทางไปเรียน ในแง่นี้ อาจกล่าวอย่างง่ายได้ว่า ความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้ครัวเรือนยากจนมีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงกว่าครัวเรือนรวยเสียอีก
ในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาในปริมาณค่อนข้างมากของครัวเรือนยากจนเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายได้ ย่อมเป็นความเสี่ยงสูงที่จะนำไปสู่ปัญหาเด็กออกนอกระบบ หรือปัญหาการออกกลางคัน ตลอดจนถึงการขาดโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงขึ้น
2
ในรายงานของธนาคารโลกฉบับดังกล่าวยังเสนอต่อไปอีกว่า เมื่อสังคมไทยก้าวเข้าสู่สถานการณ์สังคมสูงวัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กทุกคนต้องได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม ทั้งในด้านสุขภาพและการศึกษา เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กให้เกิดศักยภาพสูงสุด และนำพาครอบครัวของตนหลุดพ้นจากกับดักความยากจนและรองรับสังคมสูงวัย ตลอดจนกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปในอนาคต
ตามนัยนี้ หากประเทศไทยยังปล่อยให้ภาวะความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาดำรงอยู่ ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงแก่สังคมมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาเฉพาะในด้านการศึกษาจะพบว่า ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยนับว่ามีทรัพยากรด้านการศึกษามากเพียงพอ ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศก็จัดว่ามีการใช้จ่ายในปริมาณที่เหมาะสม โดยมีงบประมาณรายจ่ายทางการศึกษาต่อคนเพิ่มขึ้นถึงเกือบร้อยละ 50 กล่าวคือ ในปี 2551 อยู่ที่ 39,090 บาทต่อคนต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 63,119 บาทต่อคนต่อปี ในปี 2561
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้รายจ่ายงบประมาณด้านการศึกษาต่อคนมีอัตราสูงขึ้น เป็นผลมาจากการลดลงของจำนวนผู้เรียนในระบบตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2551-2561) เฉลี่ยปีละประมาณ 1.3 แสนคน ส่งผลให้รายจ่ายด้านการศึกษาต่อหัวเพิ่มสูงขึ้น
ดังนั้น ปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรหรืองบประมาณด้านการศึกษา จึงมิใช่ปัญหาของการศึกษาไทย หากแต่เป็นปัญหาในด้านวิธีการจัดสรรงบประมาณการศึกษาและการบริหารทรัพยากรที่ยังไม่เหมาะสมต่างหาก โดยการใช้จ่ายงบประมาณการศึกษานี้ยังมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่ำ
การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของเด็กไทยเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาวและการวางรากฐานที่สำคัญ เพื่อลดช่องว่างให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมขึ้น โดยอาจทำได้ด้วยการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามากขึ้น โดยพิจารณาการปรับอัตราอุดหนุนรายหัวให้มีความเป็นธรรมเพิ่มขึ้น ตลอดจนการปรับลดบทบาทหน้าที่ของส่วนกลาง ให้เป็นเพียงผู้กำกับทิศทาง ติดตามประเมินผล และกระจายหรือมอบอำนาจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น เขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาเป็นผู้ตัดสินใจหลัก
อ้างอิง
- โครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (NEA) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2562 จัดทำโดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สนับสนุนโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2563
- Yang, Judy; Wang, Shiyao; Dewina, Reno. 2020. Taking the Pulse of Poverty and Inequality in Thailand (Vol.2): Executive Summary (Thai). Washington, D.C.: World Bank Group.
- นักวิจัยธนาคารโลก ชี้ COVID-19 ทำเด็กไทยเสียโอกาสการเรียนรู้