“ประเด็นที่ต้องศึกษามีอีกมากนอกจากเรื่องการลงทุน อย่างเช่นการลงทุนด้านเวลา และการได้มีเวลาร่วมกันระหว่างเด็กและพ่อแม่”
ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ตั้งคำถามที่น่าสนใจเอาไว้ในงาน ‘ประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปวงชนเพื่อการศึกษา’ เมื่อวันที่ 10-11 กรกฎาคม 2563 ทำให้ต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้งถึงความสำคัญของการลงทุนในด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการศึกษานอกเหนือจากเรื่องเม็ดเงิน
ดร.วีระชาติ ยังได้กล่าวไว้อีกว่า ปัญหาการศึกษาไทยที่ไม่เสมอภาค โจทย์ของคำถามนั้นไม่ใช่ความยากจนเป็นหลัก เพราะความยากจนไม่ใช่สาเหตุของปัญหาไปเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะความสามารถในการลงทุนด้านการศึกษาของครอบครัวไทยทั่วประเทศลดลง เมื่อมองสภาพปัญหาในแง่มุมนี้ก็จะพบว่าการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในภาคการศึกษาเพียงอย่างเดียวดังที่ภาครัฐทำมาตลอด จนงบประมาณด้านการศึกษากลายเป็นงบประมาณสูงสุดอันดับหนึ่งของประเทศเสมอมา อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด
‘ความจน’ เชื่อมโยงกับปัญหาในภาคการศึกษาอีกหลายแง่มุม หนึ่งในแง่มุมที่สำคัญคือ ‘การลงทุนด้านเวลา’ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ เป็นเพราะความจนทำให้ผู้ปกครองไม่มีเวลาในการเลี้ยงดูลูกได้อย่างเพียงพอ หรือมิเช่นนั้นก็เป็นเพราะผู้ปกครองไม่รู้วิธีการใช้เวลาเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพ สภาพการเงินที่ขัดสนทำให้ผู้ปกครองจำเป็นต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังหรือการฝากผู้อื่นเลี้ยงนั้น ส่งผลด้านลบอย่างมีนัยยะสำคัญ
ประเด็นดังกล่าวตรงกับที่ Amy Hsin และ Christina Felfe (2016) ได้ทำการศึกษาและเผยแพร่งานวิจัยเอาไว้ในนามของ US National Library of Medicine National Institues of Health หัวข้อ ‘When Does Time Matter? Maternal Employment, Children’s Time With Parents, and Child Development’ ซึ่งระบุไว้ตอนหนึ่งว่า การใช้เวลาของผู้ปกครองกับเด็กนั้นจะส่งผลด้านบวกต่อพัฒนาการของเด็กในระยะแรก และการที่ผู้ปกครองนำเวลาไปทำอย่างอื่น เช่น การที่มารดามีความจำเป็นต้องไปทำงานประจำ ในขณะที่เด็กยังอยู่ในสภาวะต้องการแม่นั้น มีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการของเด็กเช่นกัน
จากข้อมูลบันทึกภาคครัวเรือนของประเทศโคลัมเบียที่ R.Bernal และคณะ (2016) ได้ศึกษาเอาไว้ในงานเขียนเรื่อง ‘The Differential Effects of Quantity Versus the Quality of Maternal Time Investments on Child Development’ กล่าวว่า การใช้เวลาร่วมกันภายในครัวเรือนระหว่างผู้ปกครองและเด็ก มีผลทางตรงในเชิงบวกต่อพัฒนาการด้านการคิดวิเคราะห์ (cognitive) ของเด็ก ขณะเดียวกัน การใช้เวลาร่วมกันที่มากเกินไปก็ส่งผลเชิงลบต่อพัฒนาการด้านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม (socioemotional) ได้เช่นกัน
สภาพปัญหาเรื่องการลงทุนด้านเวลาระหว่างผู้ปกครองกับเด็ก จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ทั้งในระดับโลกและระดับชาติ เนื่องจากการใช้เวลาร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและเด็กเป็นจำนวนมากนั้น หลายครั้งกลายเป็นการใช้เวลาร่วมกันที่ไม่เหมาะสม (least favorable) ดังเช่นผลการสำรวจของ Institute for Population and Social Research Mahidol University (2020) หัวข้อ ‘A Rapid Assessment of Children Left Behind During the COVID-19 Pandemic Situation’ ได้รายงานถึงสถานการณ์ของครัวเรือนไทยด้วยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,080 ครัวเรือน มีครอบครัวประสบสภาวะการตกงานในช่วงโรคระบาด COVID-19 จำนวนถึง 54 เปอร์เซ็นต์ ที่เลือกจะทำงานเพิ่มเพื่อหารายได้เสริม ซึ่งการออกไปทำงานเพิ่มเช่นนี้ทำให้เด็กต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้น
หากค้นข้อมูลย้อนหลังไปในช่วงปี 2018 ประเทศไทยมีเด็กที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพ่อแม่ถึง 3 ล้านคน สถานการณ์ในปัจจุบันจึงยิ่งซ้ำเติมความร้ายแรงของสภาพปัญหาดังกล่าวมากขึ้นตามไปด้วย
ครอบครัวที่เด็กไม่ได้ใช้เวลากับผู้ปกครอง ตามแบบสำรวจดังกล่าวระบุเอาไว้ว่า เด็กได้ใช้เวลา 88 เปอร์เซ็นต์ของวันไปกับการใช้โซเชียลมีเดีย และกำลังกลายเป็นปัญหาอย่างมาก ขณะเดียวกัน การใช้เวลาร่วมกันที่มากขึ้นในบางครอบครัวในช่วงวิกฤติไวรัส COVID-19 ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กนัก ดังรายงานจาก Institute for Population and Social Research Mahidol University ที่ระบุว่า เวลาที่ใช้ร่วมกันในครอบครัวกลับถูกใช้ไปกับการลงโทษ โดยมีเด็กจำนวนถึง 79 เปอร์เซ็นต์ ถูกตะคอก ตะโกนใส่ หรือพูดจาก้าวร้าวใส่ และเด็กจำนวน 2 ใน 5 ยังกล่าวว่า เคยถูกลงโทษด้วยการตีตามร่างกาย และเลวร้ายที่สุดคือเด็กจำนวน 1 ใน 10 เคยถูกลงโทษที่รุนแรงกว่านี้
ผลการสำรวจดังกล่าวจึงสนับสนุนไปในทิศทางเดียวกันกับงานวิจัยของ Amy Hsin และ Christina Felfe ที่ได้กล่าวเตือนเอาไว้ว่า การใช้เวลาร่วมกันที่มากขึ้นระหว่างเด็กและผู้ปกครองอาจไม่ได้หมายความว่าจะเกิดผลเชิงบวกต่อพัฒนาการของเด็กเสมอไป แต่ก็สามารถเกิดผลในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน
วิธีแก้ไขอย่างหนึ่งที่พอจะสามารถทำได้ในเบื้องต้นที่ Amy และ Christina กล่าวเอาไว้ในงานวิจัยคือ หากผู้ปกครองไม่สามารถใช้เวลาร่วมกับลูกได้อย่างเพียงพอเพราะความจำเป็นด้านเศรษฐกิจแล้ว ให้เปลี่ยนจาก ‘ปริมาณของเวลา’ มาเป็น ‘คุณภาพของเวลา’ แทน เพื่อเป็นการลดผลกระทบด้านลบต่อเด็ก
สอดคล้องกับงานวิจัยของ The Committee on Family and Work Policies แห่ง National Academy of Sciences ที่พบว่าเมื่อคุณภาพของการเลี้ยงดูเด็กเป็นไปอย่างเหมาะสม เด็กจะมีความสุขมากกว่าการใช้เวลาร่วมกันเฉยๆ และยังสามารถเข้าสังคมร่วมกับเพื่อนร่วมวัยได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหากการดูแลของผู้ปกครองได้เปิดพื้นที่ให้เด็กสามารถใช้จินตนาการอย่างการเล่นละคร เล่านิทาน ศิลปะ หรือการเล่นตัวต่อเสริมจินตนาการ จะทำให้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์เพิ่มขึ้นด้วย
จากปัญหาพัฒนาการของเด็กในวัยเริ่มต้นจนถึงเริ่มเข้าเรียนแล้วนั้น จะเห็นได้ว่า นอกจากการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างโรงเรียน ห้องเรียน หลักสูตรวิชา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่มักถูกละเลยไปก็คือ การลงทุนด้านเวลา โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่ประสบปัญหามาอย่างยาวนานด้วยสาเหตุที่ผู้ปกครองไม่มีเวลาให้ลูก เนื่องจากต้องทำงานหนัก หรือผู้ปกครองที่ไม่รู้วิธีเลี้ยงดูที่เหมาะสม ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายและจิตใจของเด็ก ปัญหาเหล่านี้จึงยิ่งสำแดงให้เห็นชัดเจนขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาโดยตรง ทำให้เด็กต้องอยู่คนเดียวมากขึ้น หรือไม่ก็ทำให้เด็กต้องเจอกับสภาพครอบครัวเป็นพิษ (toxic family) มากขึ้น
อาจกล่าวได้ว่า การลงทุนด้านเวลาเป็นทุนที่หาได้ง่ายที่สุด แต่กลับเป็นทุนที่ถูกมองข้ามมากที่สุด เช่นนี้แล้วผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการศึกษาจึงจำเป็นต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างจริงจัง เพื่อให้ต้นกล้าแห่งอนาคตได้ใช้เวลาที่ดีในการเจริญเติบโตอย่างงดงาม
อ้างอิง
- Unicef
- กรุงเทพธุรกิจ
- US National Library of Medicine-National Institutes of Health
- Robert H. Bradley and Deborah Lowe Vandell Child Care and the Well-being of Children. Arch Pediatr Adolesc Med. 2007;161(7):669–676. doi:10.1001/archpedi.161.7.669
- Equity Based Education: Economic Cost and Impact on Investment
- Bernal, R., Fernández, C., & Peña, X. (2011). The Differential Effects of Quantity versus the Quality of Maternal Time Investments on Child Development.