ซึ่งเครือข่ายระดับโลกที่ว่านี้สนับสนุนความพยายามของกันและกันเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายที่ 4 ว่าด้วย ‘การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ รวมถึงเป้าหมายที่ 11 ว่าด้วย ‘การทำให้เมืองและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มีความครอบคลุม ปลอดภัย มีภูมิต้านทานและยั่งยืน’
ยูเนสโกได้กำหนดนิยามคุณลักษณะสำคัญที่จะนำไปสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ 6 ประการด้วยกัน ได้แก่
- การส่งเสริมการเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงอุดมศึกษา
- การส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวและชุมชน
- การอำนวยความสะดวกให้มีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน
- การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ทันสมัย
- การส่งเสริมคุณภาพและความเป็นเลิศในการเรียนรู้
- การสนับสนุนวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเข้มแข็ง
ปัจจุบันเมืองที่ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตทั่วทั้งชุมชนของตนเอง และได้รับการประกาศให้เป็นหนึ่งในเครือข่ายระดับโลกของเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกมีทั้งสิ้น 294 เมืองจากทั่วโลก โดยข้อมูลล่าสุดจากยูเนสโกมีประเทศไทยอยู่ในเครือข่าย 7 เมือง ได้แก่ เทศบาลนครเชียงราย เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครภูเก็ต เทศบาลเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดพะเยา จังหวัดสุโขทัย และเทศบาลนครหาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจาก 7 เมืองที่อยู่ในเครือข่ายระดับโลกของยูเนสโก ยังมีอีกหลายเมืองในประเทศไทยที่พยายามพัฒนาและสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่ของตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา ซึ่งมีการดำเนินโครงการอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ถัดจากนี้จะเป็นการสำรวจตัวอย่างเมืองที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ และเตรียมความพร้อมสู่การเข้าร่วมเครือข่ายเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก
ภูมิปัญญาผสานเทคโนโลยี ขับเคลื่อน ‘ขอนแก่น’ สู่เมืองแห่งการเรียนรู้
ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่ทำโครงการพัฒนาเมืองที่เรียกว่า ‘ขอนแก่นโมเดล’ มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Learning City หรือเมืองแห่งการเรียนรู้ เป็นชิ้นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มงานพัฒนาเมืองที่ทำอยู่เดิม ในแง่ของการสร้างความมีส่วนร่วมกับประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมาขอนแก่นโมเดลขับเคลื่อนในลักษณะองค์กร ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาครัฐในระดับต่างๆ โดยประชาชนทั่วไปไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมและขาดการรับรู้สิ่งที่หลายภาคส่วนพยายามสร้าง ฉะนั้นการเกิดขึ้นของโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้จังหวัดขอนแก่น จึงเสมือนเป็นการเติมเต็มให้การพัฒนาเมืองมีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับมีเป้าหมายในการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพื่อการเข้าถึงการเรียนรู้ของ ‘ทุกคน’
การสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ของขอนแก่นมีโครงการย่อยที่น่าสนใจ อย่าง ‘พิพิธภัณฑ์มีชีวิต’ (life museum) โดยมองไปถึงปราชญ์ชาวบ้าน หมอยา หมอดิน หรือภูมิปัญญาอื่นๆ ของชาวขอนแก่นที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่คนรุ่นต่อไปได้ โดยนำภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้มาเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ ผ่านการให้บริการและถ่ายทอดให้กับคนที่อยากเรียนรู้ นอกจากนี้โครงการพิพิธภัณฑ์ชีวิตยังต่อยอดไปถึงการเปลี่ยนพื้นที่สาธารณะให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีการสร้างระบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการใช้พื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่ของเมืองให้เกิดประโยชน์สูงสุด
‘ลำปาง’ เมืองแห่งการเรียนรู้ จากฐานภูมิทางสังคมและวัฒนธรรม
จากความพยายามในการค้นหากลไกส่งเสริมให้จังหวัดลำปางมีคุณลักษณะสำคัญสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม กระทั่งนำไปสู่การบริหารจัดการเมืองลำปางที่มีความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนมีโครงสร้างการกระจายรายได้ เกิดระบบจ้างงานที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการเติบโตของเมืองลำปางอย่างยั่งยืน เหล่านี้เป็นชนวนสำคัญที่จุดประกายการศึกษาวิจัยเรื่อง ‘การพัฒนาเมืองลำปางสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ จากฐานภูมิทางสังคมและวัฒนธรรม’ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งต้นแบบการพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้จังหวัดลำปางในมิติต่างๆ โดยได้พัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ในย่านเมืองสำคัญของลำปาง เพื่อยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่
กิจกรรมหลักของโครงการจะมุ่งเน้นไปที่การเปิดพื้นที่การเรียนรู้ เช่น ‘โครงการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์มีชีวิตย่านสบตุ๋ย’ เกิดจากการมองเห็นศักยภาพของพื้นที่ เนื่องจากมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์สำคัญหลายด้านที่ยังปรากฏอยู่ในวิถีชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม พื้นที่การเรียนรู้ และร้านรวงอันเก่าแก่ จึงเกิดไอเดียพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตย่านสบตุ๋ย ผ่านมุมมอง 3 ด้าน คือ ‘พิพิธภัณฑ์กินได้ อาหารในตำนานย่านสบตุ๋ย’ ‘พิพิธภัณฑ์เปิดบ้านเก่าเล่าความหลัง’ และ ‘พิพิธภัณฑ์ถนนความรู้’
อีกตัวอย่างเช่น ‘โครงการพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้และกระบวนการสร้างคุณค่าจากทุนทางสังคมวัฒนธรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วยเสน่ห์ทางการท่องเที่ยววิถีชีวิตย่านท่ามะโอ’ ซึ่งบริบทพื้นที่ของชุมชนท่ามะโอมีความโดดเด่นทางด้านศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่และความเป็นชุมชน โดยโครงการนี้จะเน้นการทำแผนที่ทางวัฒนธรรมของชุมชน ทำ AR Guidebook หรือภาพจำลอง 3 มิติ สำหรับเรียนรู้แหล่งประวัติศาสตร์สำคัญผ่านมุมมอง 360 องศา ทำกิจกรรมเปิดชุมชน และผลักดันให้ชุมชนเป็นแลนด์มาร์กของแหล่งเรียนรู้เพื่อรองรับกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ
‘ปากพูน เมืองนคร’ เมืองแห่งการเรียนรู้ สร้างความเฟื่องฟูสู่วิถีคนปากอ่าว
จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้กลไกของเมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อยกระดับการเรียนรู้ของประชาชน สร้างเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านพื้นที่การเรียนรู้ ภายใต้ฐานทรัพยากรชีวภาพและอัตลักษณ์วัฒนธรรม โดยได้เลือกพื้นที่เมืองปากพูน ตำบลปากพูน อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในการดำเนินโครงการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ เนื่องจากเมืองปากพูนเป็นเมืองที่มีต้นทุนที่ดีและมีความพร้อมเป็นทุนเดิม แต่จากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความผันผวนทางการเมือง ทำให้ศักยภาพลดลงไป ดังนั้นการใช้กลไกเมืองแห่งการเรียนรู้เข้ามาขับเคลื่อนในพื้นที่ ไม่เพียงแค่เป็นการฟื้นฟูศักยภาพ แต่อาจช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้ดียิ่งขึ้นได้
การขับเคลื่อนเมืองปากพูนให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ได้มีการลงมือทำโครงการที่เป็นรูปธรรมที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการ ‘พร้าวผูกเกลอ: สร้างพื้นที่เรียนรู้ผ่านเครือข่ายสวนมะพร้าวชุมชน’ เนื่องจากชาวปากพูนมีภูมิปัญญาในการสร้างรายได้จากมะพร้าว สวนมะพร้าวหลายแห่งในปากพูนจึงมีสถานะเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ในตัวเอง โครงการนี้จึงนำงานวิชาการและการสร้างเครือข่ายพื้นที่การเรียนรู้เข้าไปสนับสนุน อีกทั้งหาวิธีหนุนเสริมเทคโนโลยี การตลาด และสร้างแนวทางการต่อรองราคากับพ่อค้าคนกลาง ช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์และเศรษฐกิจในชุมชน ซึ่งสวนมะพร้าวแต่ละแห่งล้วนมีความท้าทายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะตัวที่ผู้ประกอบการรายอื่นสามารถนำไปถอดบทเรียนเพื่อประยุกต์กับพื้นที่ของตัวเอง รวมถึงมีการผูกสัมพันธ์ผู้ประกอบการแต่ละส่วน เพื่อให้มาร่วมแชร์ประสบการณ์ และภูมิปัญญาของตนเอง อันเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายสวนมะพร้าวในเมืองปากพูน
อีกหนึ่งโครงการที่อยู่ภายใต้แผนดำเนินการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ปากพูน คือ โครงการ ‘ทุนประวัติศาสตร์ปากพูนเพื่อสร้างความภูมิใจในท้องถิ่น และฟื้นฟูทรัพยากร’ ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า หากอยากพัฒนาพื้นที่ใดให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ การย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนคือต้นทุนอันยอดเยี่ยม ทั้งนี้โครงการนี้จึงมุ่งเน้นไปยังประวัติศาสตร์ของชุมชน นำมาสู่ความภาคภูมิใจของชาวปากพูน นอกจากนี้ยังได้จัดทำนิทรรศการเคลื่อนที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ของชุมชน และมอบให้กับทางชุมชนช่วยกันเผยแพร่ต่อ ซึ่งผู้นำชุมชนมีแผนในการนำนิทรรศการดังกล่าวไปจัดแสดงตามพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งตามสถานศึกษาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมสู่การขับเคลื่อนสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ในประเทศไทย ตามคุณลักษณะที่ยูเนสโกได้กำหนดไว้ ยังมีอีกหลายเมืองที่ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมรวมแล้วมากกว่า 10 เมือง ซึ่งแต่ละท้องถิ่นล้วนต้องการผลักดันให้เกิดการพัฒนาพลเมืองในพื้นที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ บนเจตนารมณ์ที่มุ่งสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ไม่จำกัดช่วงอายุ และทุกคนย่อมมีสิทธิในการเรียนรู้ เพื่อให้ได้รับการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ดังที่เรียกกันว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิต
อ้างอิง: