การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ‘ไม่ใช่เรื่องง่าย’ หากแต่ต้องอาศัยการขับเคลื่อนนโยบายที่ทำงานบนฐานของความรู้ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยทั้งทรัพยากรข้อมูล เจตจำนง และองค์ความรู้ที่ทันสมัย เป็นเชื้อเพลิงสำคัญ ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในระบบการศึกษา
ด้วยเหตุนี้เอง ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)ทั้งสองหน่วยงานมีภารกิจที่สอดคล้องและส่งเสริมกันใรเรื่องการใช้งานวิจัยและนวัตกรรม ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้านการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำทาง จึงเกิดการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดขึ้น ณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566
โดยมีกรอบการทำงานร่วมกันเป็นระยะเวลา 3 ปี ครอบคลุมการทำงาน 3 ประเด็นสำคัญคือ
1.การพัฒนางานวิจัย ฐานข้อมูล และการจัดการความรู้
2.การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการสร้างเครือข่ายนักวิจัย นักวิชาการ
3.การพัฒนาระบบบริหารจัดการงานวิจัย และนวัตกรรม
เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ รวมถึงนโยบายเพื่อให้ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางด้านการศึกษา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน
ในโอกาสนี้ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ประธานที่ปรึกษาคณะทำงานบูรณาการประเด็น เชิงยุทธศาสตร์ ววน.ด้านการศึกษาและการเรียนรู้ สกสว. และที่ปรึกษาของคณะกรรมการบริหาร กสศ. ได้ให้ทิศทาง ความคาดหวังและบทบาทของงานวิจัย และนวัตกรรมในการลดความเหลื่อมล้ำ ในการร่วมมือของทั้งสององค์กรว่า
“ความต้องการเร่งด่วนและสำคัญที่สุดในการพัฒนาระบบการศึกษาไทย ประกอบด้วยกันหลากหลายส่วน หลักใหญ่ใจความคือ การทำความเข้าใจพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของ ‘ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกผ่าน’ ทั้งระบบ อาจประกอบไปด้วย โรงเรียน ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และนำเครื่องมือและนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสององค์กรต้องทำงานร่วมกัน การร่วมมือนี้เองจะเปลี่ยนเหมือนการนำเอาสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้พรม เอามาปรากฏแก่สาธารณชนโจทย์ โดยใช้กรอบงานวิจัยต่าง ๆ ตั้งโจทย์ ดำเนินการ และหาแนวทางทำงานแก้ไข เพื่อยกระดับคุณภาพของการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย”
ความต้องการทางด้านการวิจัยการศึกษา คือการเพิ่มคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ ต้องอาศัยงานวิจัยที่เป็นระบบ จากทั้ง สกสว. และ กสศ. ที่จะเป็นผู้ตั้งต้นในการสร้างความเปลี่ยนแปลง สร้างระบบนิเวศน์การเรียนรู้ที่ลดความเหลื่อมล้ำ นอกจากวิจัยเชิงระบบแล้ว งานวิจัยอีกอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ งานวิจัยเพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ที่ต้องไม่ละเลยเพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าวิธีการจัดการการศึกษาที่ผ่านมานั่นตอบโจทย์และใช้งานจริงได้ไหม
ด้าน รองศาสตร์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เล่าว่า การร่วมมือข้อตกลงในครั้งนี้เอง เกิดขึ้นจาก 2 กองทุน นั่นคือ กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ภายใต้ สกสว. จับมือกับ กสศ. เป้าหมายในการลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ที่ผ่านมา ววน. ทำงานในการสนับสนุนงบประมาณ ผลักดันเรื่องงานวิจัยแนะนวัตกรรมให้กับ 180 หน่วยงานทั่วประเทศ เพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะ และนำเอางานวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์สุดสูง
“งานวิจัยคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สกสว.มีแผ่นงานสำคัญคือ การลดปัญหาความยากจนและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำโดยใช้งานวิจัยในการผลักดัน ทั้งด้านนโยบาย และการขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสร้างการเปลี่ยนแปลง ความร่วมมือในครั้งนี้เอง เรามีเป้าหลัก 3 ประเทศในเรื่องของการสร้างโอกาสเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้วยกัน คือ
1.การสนับสนุนงบประมาณ และพัฒนางานวิจัย และนวัตกรรม ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ หากเราพูดถึงเรื่องการศึกษา ต้องควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้วย เพราะการศึกษาเป็นหนึ่งในวิธีการที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ ในประเทศไทยเรามีหลากหลายระบบ และมีผู้เล่นในระบบที่หลากหลาย ทั้งระบบโรงเรียน ที่พูดถึงโรงเรียนกับเด็ก โรงเรียกับครู โรงเรียนกับผู้ปกครอง หรือระบบครูกับเด็ก ครูกับผู้ปกครอง ผู้เล่นในระบบเหล่านี้เองที่เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษาไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งการศึกษาในประเทศมีความสัมพันธ์ของผู้เล่นในระบบยังไม่ราบรื่นมากนัก การเราร่วมมือกันทำงานส่วนนี้ได้ จะทำให้การดูแลศักยภาพของเด็กที่เป็นกำลังในการพัฒนาประเทศนั้นมีคุณภาพมากขึ้น
2.การเชื่อมโยงในเรื่องฐานข้อมูล ทั้งฐานข้อมูลของเด็ก เครื่องมือ และเครือข่ายการทำงาน โดยเฉพาะในเรื่องการเก็บข้อมูลบริบทของครอบครัว-ผู้ปกครองเด็ก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก็มาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเหมือนกัน สกสว. เราอยากเก็บข้อมูลรายครัวเรือนเป็นระยะยาว เพื่อจะได้เห็นคอขวดของปัญหา วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลได้ แถมยังสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา การเก็บข้อมูลจึงจำเป็นและสำคัญมาก
3.การใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยมาโดยตลอด มีงานวิจัยและนวัตกรรมแล้วแต่ไม่ได้นำไปใช้จริง หรือทำให้เกิดโอกาสในการขับเคลื่อนนโยบายและการเปลี่ยนเปลงเชิงระบบ ถึงจุดนี้เราก็ต้องหาวิธีการทำงานใหม่ โดยเริ่มตั้งแต่การดึงทางฝั่งของนโยบายมาดูรายละเอียดของวิจัยและนวัตกรรมนั้น ๆ เลย หากดำเนินการในส่วนนี้ได้ ก็จะเกิดเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่สำคัญเป็นแน่
สุดท้ายคือ การพัฒนาศักยภาพและเครือข่ายนักวิจัย นักวิจัยการศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในครุศาสตร์ ต้องมีทั้งด้านจิตวิทยา นักบริหารจัดการ และอื่น ๆ อีกหลายศาสตร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีงานวิจัยหลายระบบที่ต้องมาร่วมกันออกแบบ โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ”
ดังนั้นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาเองก็เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม สกสว. มีเครือข่ายที่กว้างขวาง ไม่ได้มีแค่ประเด็นด้านศึกษา ซึ่งคิดว่าข้อได้เปรียบในส่วนนี้เอง ที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนการทำงานกับ กสศ. ในการวางแผนเป้าหมายร่วมกัน และการเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารการจัดการงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความร่วมมือของทั้งสององค์กร
ด้านของ ดร.ไกรยศ ภัทรวาท ผู้จัดการกองทุน เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เล่าถึงบทบาทของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ในการลงบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ ว่า ที่ผ่านมา ทั้ง สกสว. และ กสศ. เองก็ทำงานร่วมกันมาโดยตลอด แต่ในการทำ MOU ฉบับนี้ จะทำให้เราทำงานได้อย่างมั่งคงในระยะยาวได้ โดยดึงเอาการมีส่วนร่วมในงานวิจัย นวัตกรรม ข้อมูล จาก สกสว. มาช่วยสร้างวัฒนธรรมการใช้ข้อมูล ระบบ เครื่องมือทางงานวิจัยที่ไปใช้จริง
“ความร่วมมือนี้เอง มีเรื่องเด่น ๆ 3 ประเด็นด้วยกันที่ กสศ.ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คือ
1.การสร้างหลักประกันทางการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัย จนถึงอุดมศึกษา เพราะทุกวันนี้เด็กไทยเกิดน้อยมาก ปีละไม่ถึง 5 แสนคน ในขณะไทยที่เราก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะก้าวออกจากกับดับรายได้ปานกลางได้ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการลงทุนในมนุษย์ทุกคนล้วนมีค่า ในการพัฒนาประเทศ
2.การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นมากขึ้น นำเอาการมีส่วนร่วมตั้งแต่พ่อแม่ ผู้ปกครอง การทลายกำแพงทางการศึกษา ให้คนทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ง่าย ไม่ต้องมีเด็กนอกระบบหรือในระบบ ทุกพื้นที่ของสังคมเป็น พื้นที่ที่เอื้อให้ทุกคนเรียนรู้ การศึกษาจะไม่ถูกจำกัดให้อยู่แค่ในห้องเรียนอย่างเดียวอีกต่อไป
3.การกระจายความเป็นเจ้าของ ทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น อย่างในชุมชน เรามีปราชญ์ชาวบ้าน ผู้รู้ในพื้นที่ เหล่านั้นเองก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาได้เช่นกัน”
ความตั้งใจของ กสศ. นอกจากการสร้างงานวิจัยที่มีเป้าหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างแล้ว การผลักดันงานวิจัยไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นทั้ง 77 จังหวัดก็เป็นเรื่องสำคัญ ทั้งสมัชชาเครือข่ายการศึกษา โรงเรียน ครู ชุมชน และอื่น ๆ นอกจากจะบรรลุเป้าหมายจากทั้ง 2 องค์กรแล้ว ทำให้ความร่วมมือนี้ตอบสนองต่อแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ในหมุดหมายที่ 9 เรื่องการแก้ปัญหาความยากจนข้ามรุน และหมุนหมายที่ 12 เรื่องการทำให้สมรรถนะคนมีคุณภาพสูง
การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้เป็นเพียงแค่การเยียวยาระยะสั้น แต่การลงทุนในการพัฒนางานวิจัย และนวัตกรรมในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คือการลงทุนในการพัฒนาประเทศ ที่จะผลิดอกออกผลต่อไปในระยะยาว จะมีเด็กและเยาวชนเข้าสู่ฐานภาษีจำนวนมาก จะมีภาคเอกชนได้รับกำลังแรงงานที่มีคุณภาพสูงขึ้น ประเทศก็จะมีกำลังคนที่มาจากความหลากหลาย และในระยะยาวผลลัพธ์จากการพัฒนาทรัพยากรบุคคลนี่เองจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต