ทว่า ทุกๆ ปีมีเด็กจำนวนมากที่มีโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาที่ตนเองสนใจ รวมไปถึงสาขาวิชาที่ประเทศขาดแคลน แต่กลับไม่สามารถเข้าศึกษาได้ เพราะอุปสรรคด้านการเงิน แม้จะเข้าถึงโอกาสที่รออยู่ข้างหน้า แต่การขาดแคลนทุนทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ผลักเด็กออกจากการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
ดังนั้น เพื่อจะให้เด็กทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้อย่างทั่วถึง จำเป็นจะต้องมีหลักประกันโอกาสทางการศึกษา เพื่อรับประกันว่าเด็กทุกคนจะสามารถเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้ตลอดรอดฝั่ง ผ่านการสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบต่างๆ
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2566 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเวทีความร่วมมือ ‘สู่เส้นทางหลักประกันการศึกษา TCAS66’ กับการพัฒนาแนวทางสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
หนึ่งในหัวข้อพูดคุยที่น่าสนใจคือ วงเสวนาวิชาการ ‘การสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา โอกาสประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน’ โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการศึกษาและปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาของไทย มาร่วมให้ข้อมูลและนำเสนอทิศทางการแก้ปัญหา เพื่อให้ประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางไปได้ในอนาคต
ทิศทางอุดมศึกษาไทยจะไปทางไหน เมื่อหลายสาขาอาชีพขาดแคลนกำลังคน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เริ่มต้นวงสนทนาด้วยการฉายภาพความต้องการในสาขาอาชีพต่างๆ ที่สังคมและภาคเอกชนต้องการและขาดแคลนอยู่ในขณะนี้
เริ่มจากสาขา Bussiness Management หรือสาขาการบริหารธุรกิจ เป็นสาขาที่มีทุนการศึกษาให้จำนวนมาก และยังมีบริษัทเอกชนหลายแห่งให้ทุนการศึกษาอีกด้วย ซึ่งทุนจำนวนนี้มีมากกว่าจำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนจริงในแต่ละปีทุน นั่นหมายความว่าหากเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สนใจที่จะเข้าศึกษาต่อในสาขานี้ จะมีทุนรองรับอยู่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
สาขา Engineering Technology หรือสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผศ.ดร.พูลศักดิ์ ชี้ว่าเป็นสาขาที่ประเทศมีความต้องการสูงมาก แต่ขาดแคลนกำลังคน ซึ่งจำนวนผู้ที่จบการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ในตอนนี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตคนเสียใหม่ เพราะวิธีเดิมๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ผลและไม่ทันการอีกต่อไป
สาขา Health Care หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพและสาธารณสุข เป็นอีกหนึ่งในสาขาที่มีความต้องการสูง เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤต ‘สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์’ (aged society) ดังนั้น เราจึงต้องการบุคลากรด้านนี้จำนวนมาก ไม่ใช่แค่เพียงหมอเท่านั้น หากยังรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์อย่างผู้ช่วยพยาบาลกำลังเป็นที่ต้องการจำนวนมาก ซึ่งตรงจุดนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ หากเลือกเรียนในสาขานี้ย่อมมีหลักประกันว่าจะมีงานทำหลังจบการศึกษาค่อนข้างสูง
สาขา Information Technology หรือสาขาเทคโนโลยีและสารสนเทศ เป็นสาขาที่กำลังมาแรงในยุคสมัยนี้ เนื่องจากการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ภาคเอกชนต่างต้องการกำลังคนจำนวนมากเข้ามาในระบบ
สาขา Art & Media หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร ศิลปะและการออกแบบ เป็นสาขาที่คนอาจไม่คาดคิดไม่ว่ามีความต้องการมาก แต่เสียงสะท้อนจากภาคเอกชนต่างชี้ว่ากำลังขาดคนทำงาน เพราะภาคการศึกษาเองไม่สามารถผลิตคนป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ได้ทัน
ผศ.ดร.พูลศักดิ์ ชี้ให้เห็นถึงโจทย์สำคัญของระบบการศึกษาในขณะนี้ว่า ทำอย่างไรจึงจะผลิตคนที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าปัญหาสำคัญคือการขาดการแนะแนวอาชีพอย่างจริงจังในระบบการศึกษา ทำให้เด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสไม่ทราบว่าปัจจุบันมีสาขาวิชาอะไรที่ขาดแคลนและต้องการกำลังคน ซึ่งเด็กเหล่านี้ต้องการหลักประกันว่าหากเลือกศึกษาต่อในสาขานั้นๆ จะมีทุนการศึกษารองรับ หรือมีงานรองรับหลังจบการศึกษา
ผศ.ดร.พูลศักดิ์ เสนอว่าในภาคอุดมศึกษานั้น การร่วมมือกับภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญ ควรจะต้องมีการส่งเสริมให้มีการเรียนและทำงานไปด้วยกัน เพื่อให้ภาคเอกชนได้บุคลากรที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการมากขึ้น
การสนับสนุนเด็กและเยาวชนเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เพื่อตอบโจทย์การก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันผลักดันต่อไป นอกจากจะเป็นภารกิจของส่วนกลางแล้ว กลุ่มมหาวิทยาลัยต่างๆ จะต้องร่วมช่วยเหลือในจุดนี้ด้วย ในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เข้าเรียน ให้เข้าถึงทุนการศึกษา รับทราบข้อมูลความต้องการในตลาดแรงงาน รวมถึงเชื่อมโยงและประสานระหว่างผู้เรียนและภาคเอกชน
หลักประกันโอกาสทางการศึกษา เครื่องมือนำพาเด็กสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงเหตุผลของการที่เด็กจำนวนมากไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา สาเหตุหลักมาจากการไม่มีหลักประกันใดๆ ว่าพวกเขาจะมีทุนทรัพย์เพียงพอสำหรับการเรียนต่ออุดมศึกษา หรือการไม่มีหลักประกันว่าหากพวกเขาเรียนจบการศึกษาแล้วจะมีงานรองรับหรือไม่ ทำให้พวกเขาตัดสินใจว่าการเรียนต่อในอุดมศึกษาไม่ใช่คำตอบในชีวิต
เมื่อขาดไร้ซึ่งหลักประกันทางการศึกษา เด็กจำนวนมากจึงตัดสินใจออกจากระบบตั้งแต่ ม.2-3 รวมถึงผู้ปกครองของเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เหล่านี้ก็มีมุมมองในลักษณะเดียวกัน
จากนั้น ดร.ไกรยส ได้นำเสนอข้อมูลจาก ‘รายงานความคืบหน้าผลการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ปีการศึกษา 2562 และ TCAS66’ เพื่อให้เห็นภาพรวมสถานการณ์การเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของเด็กยากจนว่าเป็นอย่างไร
ข้อมูลระบุว่า จากการสอบ TCAS’65 จนถึง TCAS’66 มีเด็กยากจนที่ได้รับทุนการศึกษาในระดับอุมศึกษาจาก กสศ. เพิ่มจาก 20,018 คน เป็น 21,922 คน แม้มีเด็กที่ได้รับทุนการศึกษาเพิ่มขึ้น แต่ความเป็นจริงในภาพรวมกลับพบว่า จำนวนเด็กที่เข้าสู่ระบบอุดมศึกษามีจำนวนลดลง ซึ่งหากมีการทำงานแบบไร้รอยต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ จะช่วยทำให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้มากขึ้น
หากพิจารณาถึงภูมิลำเนาของเด็กที่ได้รับทุนจาก กสศ. และยืนยันสิทธิ TCAS’66 จำนวน 21,922 คน ใน 69 สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ จะพบการกระจายตัวอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ดังนี้
ภาคกลาง 8,039 คน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7,660 คน
ภาคเหนือ 3,467 คน
ภาคใต้ 2,295 คน
ภาคตะวันออก 452 คน
ภาคตะวันตก 9 คน
จากข้อมูลนี้ แม้บางภูมิภาคจะมีเด็กเข้าถึงทุนการศึกษาค่อนข้างน้อย แต่สัญญาณที่ดีก็คือ เด็กจำนวนมากได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคของตนเอง จึงมีความหวังได้ว่า เมื่อเด็กเหล่านี้จบการศึกษา เขาจะทำงานในภูมิภาคตัวเองและพัฒนาภูมิภาคตัวเองได้
สำหรับสาขาวิชาที่นักศึกษาทุนเหล่านี้เลือกเรียนเป็นลำดับต้นๆ ในระบบ TCAS’66 ได้แก่
- กฎหมาย สังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม 6,457 คน
- วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ 4,386 คน
- ธุรกิจและการบริหารจัดการ 3,823 คน
- สุขภาพและสาธารณสุข 3,770 คน
- เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1,359 คน
- การเกษตร กสิกรรม ป่าไม้ และประมง 1,219 คน
- การศึกษาและการสอน 908 คน
ดร.ไกรยส กล่าวว่า สาขาที่เด็กส่วนใหญ่เลือกเรียน นับว่ามีความสอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนอยู่ระดับหนึ่ง ดังนั้นหากมีการประสานงานอย่างไร้รอยต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน จะทำให้มีแนวโน้มในการผลิตคนได้ตรงกับความต้องการของสังคมมากขึ้น
TCAS ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ต้องอุดช่องว่างให้มากขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ผู้จัดการระบบ TCAS ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เล่าถึงที่มาและแนวคิดของระบบ TCAS ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้มากขึ้น
ก่อนหน้าระบบ TCAS เด็กไทยต้องสอบคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัยผ่านระบบแอดมิชชั่น ซึ่งมีแนวคิดในการเปิดโอกาสให้เด็กสามารถสมัครได้หลายที่ วิ่งรอกสอบได้ไม่จำกัด ขณะเดียวกันก็สามารถยืนยันสิทธิ์ในมหาวิทยาลัยได้อย่างไม่จำกัดเช่นกัน แต่ผลที่ตามมาในระบบแอดมิชชั่นคือทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เพราะเด็กที่มีฐานะดีกว่า ย่อมสามารถยืนยันสิทธิ์ได้มากกว่า และยังเป็นการกีดกันสิทธิ์ของเด็กคนอื่นๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ การที่มหาวิทยาลัยสามารถเปิดสอบรอบรับตรงได้เองในช่วงก่อนจบการศึกษา จึงทำให้เด็กออกนอกห้องเรียนก่อนจบการศึกษาเพื่อไปสอบตรง และไปเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบ แน่นอนว่าเด็กที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ย่อมเสียเปรียบ
ในปีการศึกษา 2561 ระบบ TCAS จึงถูกนำมาใช้ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำที่มีในระบบแอดมิชชั่นเดิม โดยมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
1. ให้นักเรียนอยู่ในห้องเรียนจนจบการศึกษา เพราะมหาวิทยาลัยต่างๆ จะไม่มีการเปิดสอบตรงก่อนที่นักเรียนจะจบการศึกษา การสอบจะจัดขึ้นหลังจบการศึกษาแล้วเท่านั้น ทำให้เด็กสามารถจดจ่อกับบทเรียนในห้องเรียน ลดความจำเป็นในการเรียนพิเศษนอกห้องเรียนเพื่อที่จะไปสอบตามที่ต่างๆ
2. นักเรียน 1 คน มี 1 สิทธิ์เท่าเทียมกัน ยืนยันได้เพียง 1 สิทธิ์ต่อรอบเท่านั้น จะไม่มีการจองที่นั่ง หรือจ่ายเงินเพื่อกันที่ไว้หลายๆ ที่เหมือนระบบเดิม
3. นักเรียนไม่ต้องวิ่งรอกสอบ ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีฐานะดีหรือฐานะยากจน ต่างก็มุ่งสู่สนามสอบเดียวกัน
แต่ถึงแม้ระบบ TCAS จะมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้มากขึ้น แต่ก็ยังมีเด็กอีกมากที่ต้องหลุดจากระบบ ไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้ นอกจากความกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่ทำให้พวกเขาไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถเข้าเรียนได้ตลอดรอดฝั่ง อาทิ ค่าสมัครสอบต่างๆ เพื่อใช้ในการยื่นคะแนน TCAS ซึ่งยังเป็นปัญหาอยู่ แม้ค่าใช้จ่ายอาจไม่ได้สูง แต่ก็มีเด็กจำนวนมากที่ไม่สามารถจ่ายไหว
หัวใจสำคัญในการเพิ่มโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำที่จะต้องพัฒนาต่อไปคือ การลดค่าใช้จ่ายในการสอบและการสมัครสอบ เช่น การตรึงราคาค่าสอบไว้ไม่ให้สูงขึ้น หรือการเลือกลำดับสาขาวิชา ในลำดับแรกๆ อาจมีการสนับสนุนให้เลือกได้ฟรี แล้วค่อยจ่ายเพิ่มในลำดับหลังๆ
การลดค่าใช้จ่ายในการสอบและการเลือกลำดับ จะเป็นหนึ่งในหลักประกันการศึกษาที่ทำให้เด็กรู้สึกมั่นคงในการเข้าสู่สถาบันอุดมศึกษาได้
เด็กทุกคนต้องได้เรียน เงินกู้ยืมเพื่ออนาคตทางการศึกษา
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ย้ำถึงหลักการสำคัญที่ว่าเด็กทุกคนจะต้องได้เรียน ด้วยเหตุนี้ กยศ. จึงก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นหลักประกันให้ทุกครอบครัวจะต้องไม่เผชิญปัญหาการขาดแคลนทุนทรัพย์และถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษา
นายชัยณรงค์ย้ำว่าการปล่อยกู้ทางการศึกษาของ กยศ. เป็นระบบที่ออกแบบมาให้ง่ายต่อการกู้ยืม และที่สำคัญยิ่งมีฐานะยากจนมาก โอกาสในการได้กู้ก็มีสูงมากเช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เพื่อเป็นหลักประกันว่าเด็กยากจนจะสามารถได้ทุนเพื่อศึกษาต่อ
ในแต่ละปี กยศ. ให้ทุนกู้ยืมเฉลี่ย 40,000 ล้านบาทต่อปี และนับตั้งแต่ก่อตั้งมา กยศ. ให้กู้ไปแล้วกว่า 6,470,274 ราย เป็นจำนวนเงินกว่า 728,363 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566)
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้ปกครองจำนวนหนึ่งที่มีแนวคิดว่าไม่อยากให้ลูกมีหนี้ติดตัว สุดท้ายจึงไปกู้เงินนอกระบบเพื่อให้ลูกได้เรียนต่อ แต่นายชัยณรงค์อยากให้ปรับมุมมองว่า หนี้เพื่อการศึกษา ไม่ใช่หนี้ที่ไม่ดี นอกจากนี้หากเลือกเรียนในสาขาที่เป็นความต้องการหลักและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ เช่น สาขาอาชีวะหรือสาขายานยนต์ ยังมีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม โดย กยศ. ก็จะมีส่วนลดให้ ทั้งการลดดอกเบี้ย หรือลดเงินต้นที่ต้องจ่ายคืนอีกด้วย
หลักประกันโอกาสทางการศึกษา และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
จากวงเสวนา ‘การสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา โอกาสประเทศไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน’ สามารถถอดบทเรียนสำคัญได้ดังนี้
1. การไม่มีหลักประกันทางการศึกษา เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กและครอบครัวที่ยากจนตัดสินใจไม่เข้าสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษา
2. เงินอุดหนุนช่วยเหลือมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งระบบส่วนกลางและมหาวิทยาลัยจะต้องร่วมกันให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้เด็กทุกคนสามารถเรียนได้โดยตลอดรอดฝั่ง นอกจากนี้การลดค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ เช่น ค่าสมัครสอบ ก็มีความจำเป็นเช่นกัน
3. การสร้างเครือข่ายเพื่อการทำงานอย่างไร้รอยต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในการแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน จะช่วยทำให้การช่วยเหลือเด็กเข้ารั้วอุดมศึกษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. การแบ่งปันข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อเด็กเข้าสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว มหาวิทยาลัยจะต้องรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของเด็กยากจนในมหาวิทยาลัยกลับไปที่ ทปอ. เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ
5. หากเด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลของตลาดแรงงาน ว่าในปัจจุบันมีความต้องการหรือกำลังขาดแคลนสาขาวิชาใด และมีสาขาวิชาใดบ้างที่มีเงินสนับสนุนในการเล่าเรียนให้เป็นพิเศษ จะเป็นแรงจูงใจให้เด็กเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามากขึ้น