เรื่อง:
ผลิพร ธัญญอนันต์ผล (ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารสาธารณะและระดมความร่วมมือ กสศ.)
วิภาวี บุรุษหงส์ (สำนักสื่อสาร กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา)
บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการคิดค้นมาตรการ (Intervention) และนโยบายสาธารณะ (Public Policy) เพื่อหาทางออกให้กับปัญหาการเรียนออนไลน์ ที่เป็นหนึ่งในความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงการศึกษาจากสถานการณ์โควิด-19
คำตอบของโจทย์คำถามเกี่ยวกับปัญหาการเรียนออนไลน์มี 3 ข้อหลักๆ ดังนี้
1. มีคำถามจากภาคเอกชน (บางราย) ว่าในเมื่อมีมาตรการของรัฐเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหานี้อยู่แล้ว ทำไมยังต้องให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยอีก
เหตุผลเพราะมาตรการจากภาครัฐที่ออกมายังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าอินเทอร์เน็ตที่จำเป็นในการใช้งานปกติ กับความจำเป็นที่ต้องใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ ในการเรียนออนไลน์ ทางภาคเอกชนสามารถเข้ามาช่วยปิดช่องว่าง (gap) ตรงนี้ได้
ณ ปัจจุบันมีเพียงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานจากภาครัฐที่ออกมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาการเรียนออนไลน์ โดยในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 กสทช. ได้ออกมาตรการช่วยเหลือนักเรียนให้มีอินเทอร์เน็ตใช้ในการเรียนออนไลน์ภายในกรอบวงเงิน 1,200 ล้านบาท มาตรการดังกล่าวออกมารองรับและช่วยเหลือทั้งภาครัฐและประชาชน รวมถึงนักเรียนที่ต้องการใช้เน็ตเพื่อการเรียน โดยได้รับความร่วมมือจากค่ายโอเปอเรเตอร์อย่าง AIS, TrueMove H, DTAC, NT และ 3BB จนมาเป็นแพ็คเกจของโทรศัพท์มือถือที่มีองค์ประกอบพื้นฐาน 2 ข้อ ได้แก่
- แพ็คเกจเสริมที่ให้อินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับเรียนออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น ได้แก่ Microsoft Teams, Google Meet, Zoom, Cisco Meeting, Webex และ Line Chat พร้อมซิม (ปกติราคา 79 บาท/เดือน) ให้ใช้ฟรี 2 เดือน เริ่มจาก 15 สิงหาคม 2564 ถึง 15 ตุลาคม 2564
- ถ้าใช้แอพพลิเคชั่นอื่นนอกเหนือจากนี้ จะได้รับอินเทอร์เน็ตในการใช้งานอีก 2GB/เดือน หากใช้เกินจะถูกปรับความเร็วลงเหลือ 128 kbps
ข้อสังเกตคือ ค่ายโอเปอเรเตอร์นำเอามาตรการดังกล่าวของ กสทช. มาปรับเข้ากับแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่สามารถใช้ได้กับหมายเลขเดิมหรือขอเปิดบริการหมายเลขใหม่ได้ จึงเปรียบเสมือนว่า กสทช. ได้เข้ามาช่วยให้เงินอุดหนุน (subsidize) ช่วยเหลือค่าแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตไม่ว่าผู้ใช้งานจะใช้ของค่ายโอเปอเรเตอร์เจ้าไหนก็ตามเป็นจำนวน 79 บาท/เดือน เป็นเวลา 2 เดือน
หากเปรียบเทียบรายละเอียดของแพ็คเกจ[1] ที่แต่ละค่ายโอเปอเรเตอร์จัดออกมาตอบรับกับมาตรการดังกล่าวของ กสทช. ใน 3 ค่ายโอเปอเรเตอร์ใหญ่ มีเพียง AIS และ TrueMove H เท่านั้นที่มีการแถมซิมมาให้ใช้ในการเรียนออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่นที่จำเป็นในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนอีกด้วย ส่วนของ DTAC นั้นจะมีเพียงอินเทอร์เน็ตฟรีสำหรับเรียนออนไลน์ออกมาอย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในวิสัยปกติของการเรียนการสอนออนไลน์ นอกเหนือจากใช้แอพพลิเคชั่นที่เข้าเรียนออนไลน์ เด็กนักเรียนยังจำเป็นต้องเข้าไปค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตนเอง และศึกษาข้อมูลผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น YouTube หรือ Wikipedia เป็นต้น หรือแม้แต่แหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ที่เป็น MOOC หรือเว็บไซต์ของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเองก็ตาม
จากข้อมูล YouTube Thailand[2] พบว่า ในปี 2018 คนไทยโดยเฉลี่ยแล้วเข้าใช้งาน YouTube ในวันธรรมดา (จันทร์-ศุกร์) ประมาณ 2.3 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ประมาณ 2.9 ชั่วโมงต่อวัน หากนำข้อมูลนี้มาประกอบกับปริมาณอินเทอร์เน็ตประมาณ 563 MB[3] ต่อชั่วโมงในการเข้าดูวิดีโอ YouTube แบบ SD (480p) เราสามารถประมาณการว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้ใช้งานในประเทศไทยน่าจะต้องใช้ปริมาณอินเทอร์เน็ตประมาณ 1.3-1.6 GB ในการเข้าใช้งาน YouTube ในแต่ละวัน
ดังนั้น จะเห็นได้ชัดว่าปริมาณอินเทอร์เน็ต 2 GB/เดือน ที่เพิ่มเข้ามาในมาตรการนี้ยากที่จะเพียงพอต่อความจำเป็นในการใช้งานจริงในกิจกรรมอื่นๆ เพื่อการเรียนออนไลน์ นั่นหมายความว่าเด็กนักเรียนต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมทุกๆ เดือนในภาวะวิกฤติโควิด-19 นี้ต่อไป
ในอีกมุมหนึ่ง เราสามารถใช้ ARPU (Average Revenue Per User) ซึ่งค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหมายเลขที่ต้องจ่ายเพื่อซื้อแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้งานโดยทั่วไปใช้ ARPU สามารถเป็นตัวบ่งบอกค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อหมายเลขต่อเดือนที่ผู้ใช้งานสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในภาวะวิสัยปกติ จากข้อมูลของ กสทช. พบว่า ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ยังอยู่ระหว่าง 200-240 บาท/เดือน โดยในปี 2020 ARPU ค่าเฉลี่ยของประเทศไทยอยู่ที่ 233 บาท/เดือน
จะเห็นว่ายังมีช่องว่าง (gap) ระหว่างเงินอุดหนุนช่วยเหลือของ กสทช. ต่อหมายเลข กับค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ผู้ใช้งานจ่ายเพื่อใช้งานในวิสัยปกติอยู่ถึง 154 บาทต่อเดือนต่อหมายเลข หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามาตรการของ กสทช. เข้ามาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตในการเรียนออนไลน์แค่เพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ส่วนที่เหลือยังเป็นภาระของเด็กนักเรียน และยิ่งถือเป็นภาระที่หนักอึ้งเพิ่มขึ้นไปอีกกับกลุ่มเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ
จากข้อมูลผลการสำรวจความต้องการความช่วยเหลือในการเรียนออนไลน์ของ กสศ.[4] ในกลุ่มตัวอย่างเด็กนักเรียนจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ TSQP ของ กสศ. ในพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในระดับชั้นอนุบาลจนถึง ม.3 ทั้งหมด 28,275 คน พบว่ามีเด็กนักเรียนจำนวน 5,456 คน (หรือ 19.3 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งหมด) ที่ประสงค์ขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมในการเรียนออนไลน์ โดยรายได้ครัวเรือนของเด็กนักเรียนกลุ่มนี้อยู่ที่ 3,175 บาทต่อเดือน และมีค่าอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อเดือนที่ต้องจ่าย (หรือมีกำลังจ่าย) อยู่ที่ 187 บาท/เดือน หรือประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ต่อครัวเรือนต่อเดือน ซึ่งยังห่างจาก ARPU ที่สามารถใช้งานในภาวะวิสัยปกติอยู่ 46 บาท/เดือน และอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เด็กกลุ่มนี้แจ้งความประสงค์ขอรับการช่วยเหลือกับทาง กสศ.
ข้อสังเกตที่น่าสนใจในประเทศไทย คือกระทรวงศึกษาธิการยังไม่มีมาตรการอื่นใดเพื่อแก้ปัญหาการเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม และยังไม่เห็นทีท่าหรือแนวโน้มที่จะแสวงหาความร่วมมือแบบเชิงรุกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านนี้ เช่น กสทช. เฉกเช่นมาตรการของประเทศอื่นๆ (EEF, 2021) ยกตัวอย่างเช่น นโยบายพิเศษ Zero-Rating ที่ภาครัฐเกาหลีใต้ได้ร่วมมือกับบริษัทโทรคมนาคม 3 เจ้าใหญ่ ได้แก่ KT, LG และ SK เพื่อให้นักเรียนและครูใช้อินเทอร์เน็ตฟรี เป็นต้น
โดยสรุปแล้วด้วยมาตรการของ กสทช. นี้อาจยังคงยากที่จะเติมเต็มและแบ่งเบาภาระทั้งหมดของเด็กนักเรียนในด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ดังนั้นภาคเอกชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมช่วยบรรเทาปัญหานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายโอเปอเรเตอร์ต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นอาจจะร่วมมือกับ กสศ. ในการทำแคมเปญเพื่ออุดหนุนค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตหรือเป็นส่วนลดในแพ็คเกจให้กับนักเรียนยากจนพิเศษในสัดส่วนที่ทำให้เด็กนักเรียนหรือผู้ปกครองไม่ต้องมีภาระในช่วงโควิด-19 นี้
2. ปัญหาที่ว่าเด็กมีโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต (ขอเรียกรวมๆ ว่า อุปกรณ์สื่อสาร หรือ Device) ไม่เพียงพอในการเรียนออนไลน์ ต้องหามาตรการช่วยเหลืออย่างไร
ปัญหาที่เด็กนักเรียนไม่มีอุปกรณ์สื่อสาร หรือไม่มีอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถใช้ได้ในขณะที่ต้องเรียนออนไลน์เกิดมาจากสาเหตุ เช่น อุปกรณ์สื่อสารนั้นเป็นของผู้ปกครองและต้องใช้ในการทำงานระหว่างวัน หรือภายในครัวเรือนมีเด็กนักเรียนที่ต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อเรียนออนไลน์ในคนละชั้นปี หรือคนละชั้นเรียนในเวลาเดียวกัน เป็นต้น
จากข้อมูลผลการสำรวจความต้องการความช่วยเหลือในการเรียนออนไลน์ของ กสศ.[5] พบว่ากลุ่มเด็กนักเรียนที่ประสงค์ขอรับการช่วยเหลือเพิ่มเติมในการเรียนออนไลน์มีอุปกรณ์สื่อสาร เช่น สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตที่สามารถใช้ในการเรียนออนไลน์ได้เฉลี่ยประมาณ 1.8 เครื่องต่อครัวเรือน[6] ซึ่งหมายความว่าเด็กนักเรียนในกลุ่มนี้ต้องประสบปัญหาอุปกรณ์สื่อสารไม่เพียงพอในการใช้เรียนออนไลน์
ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยการระดมการบริจาคอุปกรณ์สื่อสารจากภาคเอกชน หรือประชาชนทั่วไป แนวคิดในการทำแคมเปญการบริจาคอุปกรณ์สื่อสารทำได้ 2 วิธีคือ
1) สร้างแคมเปญบริจาคไปที่หน่วยงานหรือองค์กรกลางที่มีหน้าที่คอยรับอุปกรณ์สื่อสารที่ได้รับบริจาคเข้ามา เช็คสภาพ และส่งต่อไปให้เด็กที่ขาดแคลน โดยข้อมูลชี้เป้าเด็กที่ต้องการอุปกรณ์สื่อสารมาจาก กสศ. คล้ายกับโครงการ School In a Box ของ StartDee กสศ. สามารถลองคุยกับหน่วยงาน เช่น startup ที่ชื่อ Fixzy ที่มีบริการที่ใกล้เคียงกัน (อย่างน้อย Startup เหล่านั้นก็สร้าง brand awareness และอาจจะเพิ่มฐานลูกค้าได้) อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นหน่วยงานหรือองค์กรเดียวก็ได้ โดยสามารถหา partner มาประกอบร่างและเหนี่ยวนำให้มาร่วมมือกัน
2) แคมเปญบริจาคในลักษณะที่ No Central Inventory หรือไม่มีตัวกลาง แต่ กสศ. ทำหน้าที่ matching คนที่ขาดแคลนโทรศัพท์มือถือและคนที่ต้องการบริจาค แล้วอาจจะสร้างแอพฯ ง่ายๆ ให้คนอยากบริจาคสามารถส่งโทรศัพท์ ตรงนี้สามารถร่วมมือกับทาง Kerry ได้ เช่น แคมเปญบริจาคเครื่องและส่งฟรีผ่าน Kerry โดยใช้ข้อมูลที่อยู่ของเด็กที่ขาดแคลนจาก กสศ. หรือร่วมกับทาง e-commerce platform เช่น JD Central เปิดแคมเปญบริจาคโดยการซื้อโทรศัพท์มือถือบน e-commerce และส่งให้ถึงมือเด็กที่ขาดแคลนโดยตรง
เนื่องด้วย capacity ขององค์กร กสศ. ไม่ควรดำเนินการเป็น campaign implementor/operator เอง แต่เป็นคนชี้เป้าหมายเท่านั้น ดังนั้นวิธีที่ 2 จะง่ายกว่าวิธีที่ 1 และไม่ยุ่งยากในเชิง operational ใดๆ เลย ไม่ต้องมี inventory ไม่ต้องตรวจเช็คอะไรใดๆ เลย
อนึ่ง การส่งต่อข้อมูลระหว่างกัน นอกจากเรื่อง PDPA แล้ว ต้องให้ comply กับแนวนโยบายและแนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสำนักงาน กสทช. ด้วย
3. อุปสรรคที่ทำให้นโยบายอินเทอร์เน็ตฟรีทั่วประเทศเป็นไปได้ยากมีอะไรบ้าง
อุปสรรคหลักคือต้นทุน การวางโครงสร้างสาธารณูปโภคด้านโทรคมนาคม (ICT Infrastructure) ต้องการเงินลงทุนในระดับหลายล้านล้านบาท อย่างเช่นในสหรัฐอเมริกา บริษัท Deloitte ได้คาดการณ์ไว้ว่าเพียงเพื่อปรับโครงข่าย Fiber Optic ไปสู่ 5G ทั่วประเทศ อาจต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 1.3-1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4-5 ล้านล้านบาท ในอีก 5-7 ปีข้างหน้า (Deloitte, 2021) เป็นต้น
รูปแบบการให้บริการอินเทอร์เน็ตเองก็มีผลต่อความเป็นไปได้ที่จะทำให้อินเทอร์เน็ตฟรี โดยเราสามารถแบ่งรูปแบบการให้บริการอินเทอร์เน็ตเป็น 2 กรณีคือ 1) ไวไฟอินเทอร์เน็ต (Wifi Internet) และ 2) โมบายอินเทอร์เน็ต (Mobile Internet หรืออินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ)
ในกรณีของไวไฟอินเทอร์เน็ต มีหลายประเทศประสบความสำเร็จในการทำให้เป็นอินเทอร์เน็ตฟรีได้ โดยมีเงินอุดหนุนและการลงทุนขนาดมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากภาครัฐ ในทวีปยุโรปหลายประเทศที่บริการอินเทอร์เน็ต Wifi ที่ฟรีและครอบคลุมทั่วประเทศ เช่น เดนมาร์ก, ลิทัวเนีย, เอสโตเนีย เป็นต้น (GoGoPlaces, 2019)
ในประเทศไทยเคยมีความพยายามผลักดันเรื่องนี้จากรัฐบาลในยุค คสช. ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือ ‘โครงการเน็ตประชารัฐ’ ที่ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมายในพื้นที่จำนวน 24,700 หมู่บ้าน ภายใต้วงเงินงบประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2559 แต่ท้ายที่สุดในช่วงกลางปี 2563 ได้ถูกตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และพบว่าผลสัมฤทธิ์ของโครงการไม่เป็นดั่งที่ตั้งใจไว้ Wifi อินเทอร์เน็ตที่ติดตามหมู่บ้านนั้นเชื่อมต่อไม่ค่อยได้ สัญญาณอ่อนมาก บางพื้นที่ติดตั้งในสถานที่ที่ไม่อำนวยให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ และถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของโครงการนี้ โครงการเน็ตประชารัฐจึงถูกชะลอโดยมติ กสทช. ไปเมื่อกลางปี 2563 และไม่ได้เป็นจุดโฟกัสของรัฐบาลชุดปัจจุบันอีก ที่โชคร้ายคือหลังจากโครงการเน็ตประชารัฐก็ยังไม่มีโครงการขนาดใหญ่ใดๆ ในไทยที่จะช่วยให้เกิดอินเทอร์เน็ตที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ในกรณีของโมบายอินเทอร์เน็ต ยังไม่เคยมีประเทศไหนในโลกที่ให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายเลย เนื่องด้วยการดำเนินการให้บริการโมบายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกมาพร้อมกับบริการโทรคมนาคมที่ลงทุนโดยภาคเอกชน ซึ่งมีต้นทุนเชิงพาณิชย์ที่ส่งผลถึงราคาของโมบายอินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกันตามตลาดด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศ (ที่ยังไม่สามารถทำให้ฟรีได้)
หากพิจารณาจากราคาบริการโมบายอินเทอร์เน็ตทั่วโลกแล้ว จากข้อมูลล่าสุดของ Worldwide Mobile Data Pricing ปี 2021[7] พบว่า ประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายโมบายอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยประมาณ 0.34 เหรียญสหรัฐ/GB รั้งอันดับ 57 (จากการสำรวจทั้งหมด 230 ประเทศทั่วโลก) ที่จ่ายค่าใช้จ่ายโมบายอินเทอร์เน็ตถูกที่สุดในโลก ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีค่าใช้จ่ายโมบายอินเทอร์เน็ตถูกอยู่ ในขณะอันดับที่ 1 ที่มีค่าใช้จ่ายโมบายอินเทอร์เน็ตถูกที่สุด คือประเทศอิสราเอล มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 0.05 เหรียญสหรัฐ/GB ส่วนประเทศที่เสียค่าโมบายอินเทอร์เน็ตแพงที่สุด คือ อิเควทอเรียลกินี (Equatorial Guinea) จ่ายอยู่ที่ 49.67 เหรียญสหรัฐ/GB สิ่งที่น่าสังเกตคือประเทศหมู่เกาะทั้งหลาย เช่น หมู่เกาะฟอล์คแลนด์ (Falkland Islands), เกาะเซนต์เฮเลนา (Saint Helena) เป็นต้น ล้วนแต่เป็นประเทศที่ค่าใช้จ่ายโมบายอินเทอร์เน็ตแพง เนื่องด้วยความยากลำบากในการติดตั้งโครงข่าย เช่น เสาสัญญา และ Fiber Obtic ที่เชื่อมระหว่างเกาะ
เชิงอรรถ
[1] ข้อมูลเปรียบเทียบแพ็คเกจ https://techmayday.tech/how-much-data-does-youtube-use
[2] ที่มา: https://datareportal.com/reports/digital-2021-thailand
[3] อ้างอิงจาก https://techmayday.tech/how-much-data-does-youtube-use
[4] ข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2564
[5] ข้อมูล ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2564
[6] ในการสำรวจ นับอุปกรณ์สื่อสารของผู้ปกครอง/คนในครอบครัวที่ใช้สื่อสารกับครู ถ้าสื่อสารและสามารถนำมาใช้ในการเรียนได้ ให้ถือว่านักเรียนคนนั้นมีอุปกรณ์สื่อสาร
[7] https://www.cable.co.uk/mobiles/worldwide-data-pricing/#pricing
อ้างอิง
- “เรียนออนไลน์ ไม่ (จำเป็น) ต้องจ่ายค่าเน็ต เรียนรู้ตัวอย่างจากต่างประเทศ ว่ารัฐซัพพอร์ตการเรียนออนไลน์อย่างไรบ้าง?: กสศ.” กสศ. | เปิดประตูสู่โอกาสทางการศึกษา, 10 Aug. 2021, www.eef.or.th/article-free-internet-for-study/.
- Get in touch Dan Littmann Principal | Deloitte Consulting LLP dlittmann@deloitte.com 1 312 486 2224 A Deloitte Consulting LLP principal. (2021, May 03). Deep fiber: The next internet battleground: Deloitte US. Retrieved from https://www2.deloitte.com/us/en/pages/consulting/articles/communications-infrastructure-upgrade-deep-fiber-imperative.html
- GoGoPlaces Admin. (2019, July 26). Retrieved from https://www.gogoplaces.co/blog/15-interesting-facts-about-life-in-estonia/
- สตง. แจงผลสอบ “เน็ตประชารัฐ” ปีงบประมาณ 59 วงเงิน 1.3 หมื่นล. ใช้ไม่คุ้มค่างบแผ่นดิน. (2020, July 02). Retrieved from https://siamrath.co.th/n/167004