“ชายคนนี้ที่มองเห็นว่านี่คือรูปปั้นที่สวย เชื่อและปฏิบัติกับรูปปั้นราวกับมีชีวิต ก็เหมือนกับครูที่มองเห็นว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีศักยภาพ แล้วครูจะเป็นคนที่ทำให้เด็กเป็นแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ”
อ.ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เวลาที่คนเรามีความคาดหวังหรือความเชื่ออะไร แล้วจะเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบางอย่าง ซึ่งจริงๆความเชื่อหรือความคาดหวังนี้อาจไม่ได้เป็นความจริงหรืออาจเป็นแค่เรื่องสมมติ แต่เมื่อเราเกิดความเชื่อหรือความคาดหวังนี้ขึ้นมาแล้ว เราจะเป็นคนเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผลของพฤติกรรมนี้ส่งผลให้สิ่งที่เราคิดกลายเป็นความจริง เพราะว่าเราเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือการกระทำที่แตกต่างไปจากเดิมหรือสถานการณ์ที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นก็เลยจะเกิดขึ้นมาจริงๆ นี่คือปรากฏการณ์ ‘Pygmalion effect’ หรือ‘ปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง’
หากคุณได้ยินข่าวลือว่าธนาคารที่คุณฝากเงินจะล้ม คุณจะทำอย่างไรกับเงินที่อยู่ในธนาคารของคุณ? คุณเลือกที่จะไปถอนเงินคืนหรือเลือกที่จะฝากมันไว้ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่เลือกที่จะถอนมันออกมา โรเบิร์ต เมอร์ตัน นักสังคมวิทยา บอกไว้ว่า จริงๆแล้วพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่แย่ขนาดนั้นแต่คนที่ได้ข่าวและนำไปพูดต่อๆกันว่าธนาคารจะล้ม ทุกคนจึงแห่กันไปถอนเงิน ทำให้ธนาคารล้มจริงๆ ทั้งๆที่ถ้าไม่ได้มีความเชื่อนี้ทุกคนก็อยู่เฉยๆ สุดท้ายธนาคารก็ไม่ล้ม
จากสมมติฐานเรื่อง ความคาดหวังของคนอื่นอาจมีอิทธิพลทางบวกหรือทางลบต่อความเป็นจริงที่เกิดขึ้น สู่การทดลองเชิงจิตวิทยาในโรงเรียนของ โรเบิร์ต โรเซนธัล ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและ เลอนอร์ จาค็อบสัน ครูใหญ่ในโรงเรียนประถมศึกษา โดยนำเด็กในโรงเรียนมาทดสอบวัดระดับ IQ เมื่อทดสอบเสร็จทำทีคัดเด็กออกมา 20 คน และบอกกับครูว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่ได้คะแนนทดสอบสูง ส่วนเด็กที่เหลือถูกจัดให้ไปอยู่ห้องเรียนอื่น แล้วทำการเรียนการสอนจนหมดเทอม เด็กกลุ่มที่ได้คะแนนทดสอบสูงพยายามทำเต็มที่ให้ได้คะแนนดีสมกับระดับ IQ ครูก็สอนอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันเด็กกลุ่มนี้ให้ก้าวหน้าขึ้น เมื่อจบเทอมปรากฏว่าเด็ก 20 คนนี้ได้คะแนนประเมินดีกว่าเด็กห้องอื่นจริงๆ ทั้งยังมีพฤติกรรมทางการเรียนเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น การทดลองนี้แสดงให้เห็นในเชิงประจักษ์ว่า ความเชื่อและการปฏิบัติของครูมีอิทธิพลต่อศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็ก
วงจร ‘ปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง’
ความเชื่อที่ครูมีต่อเด็กทำไมส่งผลต่อความสามารถของเด็กๆขนาดนั้น? การทดลองของนักจิตวิทยาแสดงให้เห็นว่า ‘ความคาดหวัง ความเชื่อ’ ของครูส่งผลต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของตัวครูเอง แล้วมีผลต่อความคิด ความรู้สึก ความเชื่อของเด็กและผลจากความคิด ความรู้สึก ความเชื่อเหล่านี้ทำให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำให้ความเชื่อนั้นเกิดขึ้นจริง
หากครูเริ่มมีความคาดหวังว่าเด็กเหล่านี้เป็นเด็กเก่ง สิ่งที่ครูจะทำ คือ การเรียกเด็กตอบคำถามบ่อย ๆ การให้โจทย์ที่ท้าทาย หรือเรียกไปทำกิจกรรมวิชาการมากกว่าเด็กกลุ่มอื่น สิ่งเหล่านี้เป็นสภาพแวดล้อมที่คอยผลักดันเด็กให้มีส่วนร่วมในชั้นเรียนและพัฒนาตัวเองมากขึ้นจนกลายเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีในที่สุดหรือเก่งที่สุด ในทางกลับกันหากครูมีความเชื่อว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กธรรมดาหรือเด็กหัวช้า ทำไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น การแสดงออกของครูก็อาจออกมาในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา เช่น การไม่ให้โอกาสในการตอบคำถามหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่สำคัญต่างๆของโรงเรียน จึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือกระบวนการที่เด็กจะผลักดันตัวเองให้เกิดศักยภาพได้ สุดท้ายก็กลับไปตอกย้ำความคาดหวัง ความเชื่อของครูว่า “เด็กคนนี้เก่งจริงๆ” หรือ “เด็กคนนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ” อย่างที่ครูเชื่อหรือคาดหวังไว้
ทัศนคติเชิงอคตินำมาสู่ความเชื่อและการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาจาก ‘ปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง’ คือทัศนคติเชิงอคติและการรับรู้ในอดีตที่สั่งสมมาจนเกิดเป็นกรอบความคิดแบบเหมารวมหรือ Stereotype และความเชื่อจากคนอื่น เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคาดหวัง ความเชื่อ และพฤติกรรมการแสดงออกของครูต่อเด็กที่แตกต่างกัน ในการทดลองนี้ใช้วิธีการบอกครูเลยว่าเด็กกลุ่มไหนที่มี IQ สูง ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงแค่การสุ่มเท่านั้น แต่ผลจากการทดลองกลับทำให้เห็นว่าครูทุ่มเทกับการสอนอย่างเต็มที่ให้กับเด็กกลุ่มนี้มากกว่าเด็กกลุ่มอื่น นั่นเป็นสัญญาณว่าปัจจัยเหล่านี้มีส่วนทำให้ครูคาดหวังและปฏิบัติกับเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนของเด็กที่ไม่เท่ากันด้วย โดยปกติครูจะชอบเด็กหัวดี สอนง่าย ทำให้ครูจะมีปฏิกิริยาทางบวกกับเด็กกลุ่มนี้และทุ่มเทกับพวกเขามากกว่า เด็กก็จะเกิดความรู้สึกดี มีทัศนคติที่ดีกับครูคนนี้ เพราะเด็กจะชอบเรียนกับคนที่เขาชอบอยู่แล้ว การเรียนก็จะเกิดประสิทธิภาพสูง แต่ถ้าเด็กไม่ชอบครูคนไหน เขาก็จะไม่ชอบวิชานั้นไปด้วยและทำให้ไม่อยากเรียน ส่วนเด็กที่ครูคิดว่าเป็นเด็กธรรมดาและเด็กหัวช้า ปฏิกิริยาของครูก็จะต่างออกไป เช่น คำพูด “เด็กคนนี้เรียนไม่รู้เรื่องหรอก ไม่ต้องไปสอนไรเยอะ”, “ไม่ต้องไปเสียเวลา ถามไปก็ตอบไม่ได้” แทนที่เด็กกลุ่มนี้จะถูกกระตุ้นและผลักดันให้ก้าวหน้าขึ้น กลับกลายเป็นตราบาปในชีวิตให้กับเด็กว่าเขาไม่มีศักยภาพและพัฒนาไม่ได้
ความเชื่อและการปฏิบัติของครู ส่งผลต่อทัศนคติ แรงขับเคลื่อนและการทำงานของสมอง ของเด็ก
พฤติกรรมที่ครูแสดงออกจากความเชื่อ ส่งผลให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของทัศนคติ แรงขับเคลื่อน และการทำงานของสมอง อย่างแรกทัศนคติและความรู้สึกหรือ Attitude จะมีผลกับการเรียน หากเขาชอบครูคนนี้ ชอบวิชานี้เขาก็จะเกิดความกระตือรือล้น แต่ถ้าเขาไม่ชอบเขาก็จะไม่อยากเรียน ซึ่งนั่นก็ไปมีผลต่อพฤติกรรมการเรียน ต่อมาเมื่อเด็กไม่ชอบก็จะส่งผลต่อแรงขับเคลื่อนหรือ Motivation จะรู้สึกไม่อยากเรียน ไม่อยากทำแล้ว เกิดความท้อแท้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยาวนาน อาจทำให้เด็กไม่มีประสิทธิภาพในการเรียนและส่งผลต่อพัฒนาการในระยะยาว ถ้าเริ่มต้นครูให้ความใส่ใจ ให้โอกาส เรียกถาม คอยช่วย เด็กเหล่านี้ก็จะประสบความสำเร็จ พอเขาทำได้ ก็เกิดความรู้ดีขึ้นมา เมื่อรู้สึกดีก็จะเกิดแรงขับเคลื่อนที่จะทำต่อ เรียนต่อ ในขณะที่บอกเด็กอีกคนว่า “เธอทำไม่ได้หรอก” เขาก็หมดแรงจูงใจ สุดท้ายถ้าครูเชื่อมั่นในตัวเด็กและทุ่มเทให้กับเขา เหมือนเขาเรียนอยู่ในภาวะที่สมองปลอดโปร่ง เขาก็จะเรียนรู้ได้ดี การทำงานของสมองหรือ Cognition ก็จะทำงานได้ดี แต่ถ้าหากเด็กอยู่ในภาวะที่ครูแสดงปฏิกิริยาเชิงลบ ไม่ว่าจะแสดงออกด้วยคำพูดหรือท่าที ภาวะสมองของเด็กก็จะอยู่ในความเครียด เกิดการรบกวนทางจิตใจเวลาเรียน แทนที่เขาจะมีสมาธิไปโฟกัสกับการเรียนได้อย่างเต็มที่ ก็กลายเป็นว่าเขาเสียพื้นที่สมองไปกับความกังวลแล้วไปแสดงผลที่พฤติกรรมการเรียนของเด็ก
“หนูจะรู้สึกแย่และไม่อยากเรียนวิชานั้นและสนใจอะไรกับวิชานั้นเลย ถึงบางครั้งจะพยายาม แต่มันรู้สึกเสียใจและท้อ ขาดความมั่นใจ และทำให้ห่างเหินกับครูมากขึ้น สุดท้ายมันทำให้เราจดจ่ออยู่กับความรู้สึกที่ครูพูดหรือท่าทีในเชิงลบกับเรา ทำให้ไม่มีสมาธิเรียน”
เสียงสะท้อนของน้องสุนิษา แสนยมาตร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโพธิ์พัฒนา
ทัศนคติและการปฏิบัติเชิงบวกส่งเสริมศักยภาพเด็ก
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเด็ก โดยเริ่มจากความเชื่อและความคาดหวังของครู ความเชื่อทางบวกหรือมี Growth Mindset ว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพ สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้ว่าวันนี้เด็กยังทำไม่ได้ แต่ถ้าครูมีความเชื่อและความคาดหวังแบบนี้ ครูจะหาสามารถหาวิธีการใหม่ๆมาเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงพฤติกรรมเด็กให้สามารถที่จะทำได้ ถ้าปรับให้ครูมีความเชื่อว่าเด็กจะสามารถพัฒนาได้แล้ว ก็จะทำให้เวลาครูปฏิบัติกับเด็ก ให้ความสนใจ ให้การทุ่มเทในการสอนอย่างเต็มที่ ให้โอกาสเท่าเทียมกัน หากเด็กที่มีต้นทุนมาน้อยกว่าครูอาจต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อให้เห็นผลเท่ากันกับเด็กคนอื่นๆ เหมือนกับที่คุณครูมยุเรศ ศรีสุขจันทร์ ครูสอนภาษาไทย โรงเรียนบ้านโพธิ์พัฒนา ใช้ความพยายามและความทุ่มเทในการเปลี่ยนแปลงเด็กธรรมดาและเด็กหัวช้าให้สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่
“เด็กที่เก่งคือเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นอย่างไร ความคาดหวังอาจสูงขึ้นมานิดนึงจากเด็กที่ไม่เก่ง แต่ถามว่าครูใส่ใจใครมากกว่ากัน ครูใส่ใจและทุ่มเทให้กับเด็กที่ไม่เก่งมากกว่า เพราะว่าอยากให้เขาทำได้ เข้าใจ ส่วนเด็กที่เก่งอยู่แล้วมีหน้าที่แค่ส่งเสริม”
มยุเรศ ศรีสุขจันทร์ ครูสอนภาษาไทย โรงเรียนบ้านโพธิ์พัฒนา
เช่น ในการสอบท้ายบท หากเด็กทำคะแนนได้ไม่ค่อยดีก็จะให้สอบแก้ แต่เด็กบอกกับครูว่าสอบแก้ก็เหมือนเดิมไม่ผ่าน ครูก็ให้กำลังใจและเชื่อใจว่าเขาทำได้ เขาก็เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมโดยกลับไปทบทวนในเนื้อหาแล้วมาสอบใหม่ สุดท้ายเขาก็ผ่าน
อ้างอิง