เรื่อง: กานดา ณ พิกุล
สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้โรงเรียนส่วนใหญ่ต้องปิดเรียน และเปลี่ยนมาใช้วิธีการเรียนทางไกล นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ครู ผู้ปกครอง และนักเรียนจะต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนการสอนในแบบที่พวกเขาไม่คุ้นเคย
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กที่ไม่มีความพร้อมในการเรียนทางไกล เกิดความเครียดและความกังวลตามข่าวที่ได้เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับนักเรียนชาวอเมริกันที่ต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนของเด็กลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผิวสี เด็กเชื้อชาติอเมริกัน-สเปน รวมถึงกลุ่มชนพื้นเมืองที่โอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษานั้นลดลง
การเข้าถึงการศึกษาที่แตกต่างในเด็กแต่ละเชื้อชาติ
คณะผู้วิจัยในพื้นที่ได้ทำการวิเคราะห์ว่า การปิดเรียน มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการเรียนของเด็กนักเรียนแต่ละเชื้อชาติอย่างไร โดยพิจารณาจากความรู้ความเข้าใจในการเรียน อัตราการลาออกกลางคัน และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วนักเรียนทุกเชื้อชาติเริ่มเรียนช้ากว่าปกติ ในขณะที่นักเรียนผิวสี อเมริกัน-สเปน และชนพื้นเมืองเรียนช้ากว่าปกติไป 3-5 เดือน
จากการศึกษาและประเมินผล จะเห็นได้ว่าเด็กนักเรียนผิวขาวเพียงแค่ 67 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้เข้าเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ 87 เปอร์เซ็นต์ ในวิชาการอ่าน นั่นหมายความว่า เด็กที่เหลือไม่สามารถที่จะเข้าเรียนและเรียนทันเพื่อนได้ ทำให้เด็กเหล่านี้เรียนช้ากว่าเพื่อน 3 เดือนโดยเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์ และ 1 เดือนครึ่งในวิชาการอ่าน ซึ่งจะเห็นความแตกต่างถึงโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่ดีของเด็กนักเรียน โดยเฉพาะเด็กนักเรียนผิวสี อเมริกัน-สเปน และชนพื้นเมือง
เพราะความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสื่อการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานอย่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ที่จะใช้ติดต่อครูผู้สอนของเด็กนักเรียนผิวสี และเชื้อชาติอเมริกัน-สเปนยังคงเกิดขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนของเด็กเหล่านี้ลดลง
เปลี่ยนการเรียนทางไกลให้เป็นเรื่องปกติ (The Next Normal)
ในอเมริกาได้เริ่มพัฒนาหลักสูตรการเรียนทางไกลแล้วและเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลักสูตร การอบรมครูผู้สอน และการร่วมมือกันระหว่างครู ผู้ปกครอง และเด็กนักเรียน ระบบประเมินผลแบบตัดเกรดเริ่มนำกลับมาใช้ ทำให้มาตรฐานในการประเมินผลยิ่งสูงขึ้น
เด็กนักเรียนในโรงเรียนเขตเมืองหรือโรงเรียนใหญ่ๆ ประจำรัฐ ได้เปลี่ยนระบบการเรียนการสอนเป็นระบบออนไลน์แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเด็กนักเรียนผิวสี อเมริกัน-สเปน และชนพื้นเมืองยังด้อยโอกาสมากกว่าเด็กนักเรียนผิวขาว เพราะตามกำลังทรัพย์ของผู้ปกครองทำให้เด็กมีโอกาสที่จะเรียนน้อยกว่า และในทางกลับกันหากผู้ปกครองไม่มีทุนทรัพย์มากพอ อาจส่งผลให้เด็กลาออก โดยอัตราการลาออกนั้นเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงก่อนเปิดภาคเรียน
ส่วนเด็กนักเรียนที่ยังคงเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรจะต้องมีเครื่องมือ และอุปกรณ์การเรียนการสอนที่พร้อมและเหมาะสมต่อการเรียนออนไลน์ ซึ่งภาครัฐของอเมริกาพยายามที่จะแจกจ่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมถึงติดตั้งอินเทอร์เน็ตให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลน และกำหนดกฎและเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการเรียนออนไลน์ แต่ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงการเรียนออนไลน์ก็ยังคงมีอยู่ เพราะอุปกรณ์การเรียนไม่ทั่วถึง และเด็กบางกลุ่มไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้
ลดการสูญเสียโอกาสการเรียนรู้ในเด็กทุกคน
เมื่อกลับมาดูข้อมูลของนักวิจัยในอเมริกาพบว่า ถ้ามีการพัฒนาการเรียนออนไลน์ ผสมผสานกับการเรียนตัวต่อตัวที่ดี เด็กนักเรียนผิวสี และอเมริกัน-สเปนจะสูญเสียเวลาเรียนน้อยลงจาก 11-12 เดือน เป็น 6-8 เดือนเท่านั้น
การพัฒนาระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ควรพัฒนาให้สามารถเรียนรู้ได้จริง โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการเรียนการสอนแบบไลฟ์สด ตารางเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และมีการประเมินผลหลักสูตร ครูผู้สอนควรได้รับการอบรมหรือมีแนวคิดที่จะสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนใหม่ๆ ในออนไลน์ โดยมีการจัดรูปแบบการเรียนการสอนให้กับเด็กนักเรียนผิวสี และอเมริกัน-สเปนได้มีโอกาสเข้าถึงการเรียนการสอนให้ได้มากที่สุด เช่น ลดการเรียนโดยใช้สื่อการสอนแบบดิจิตอล ขอความร่วมมือจากครอบครัวของเด็กนักเรียน หรือโรงเรียนอาจเพิ่มรูปแบบการเรียนการสอนแบบองค์รวม โดยยังคงมีการเรียนการสอนแบบพื้นฐานผสมผสานไปกับการให้คำปรึกษา ประเมิน ดูแลสุขภาพจิตของเด็กนักเรียนให้พร้อมกับการเรียนรู้ในทุกรูปแบบ
พอหันกลับมามองสถานการณ์การเรียนทางไกลในประเทศไทย พอจะเห็นในข่าวเมื่อช่วง 1 ปีที่ผ่านมาว่า ยังมีเด็กบางกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมเรื่องอุปกรณ์การเรียนในลักษณะดังกล่าว ซึ่งหากนำแนวคิดและวิธีการนี้มาปรับใช้กับเด็กนักเรียนในบ้านเรา ก็อาจส่งผลดีไม่น้อยต่อเด็กที่กำลังเผชิญสภาวะนี้อยู่