“คนคลองเตยส่วนใหญ่มีพื้นเพจากชนบท และย้ายรกรากมาขายแรงงานในเมือง มาบุกเบิกพัฒนาพื้นที่ สร้างเมือง คนคลองเตยมีศักยภาพที่หลากหลาย ต่างคนต่างฐานะไม่ดี หาเช้ากินค่ำ เขาจึงรับรู้ถึงหัวอกของความเป็นผู้ยากไร้ ผู้ลำบากด้วยกัน”
คลองเตยในช่วงเวลานี้ถูกพูดถึงในวงกว้างของสังคม ไม่ว่าจะแง่มุมความเป็นอยู่ของชุมชนภายใต้บ้านเรือนหลังคาสังกะสีที่เบียดเสียดกันกว่า 12,000 ครัวเรือน (ซึ่งประไพบอกว่าตัวเลขครัวเรือนในความเป็นจริงอาจมีมากกว่านั้น) ปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่อยู่อาศัย ตลอดจนความเปราะบางของเด็กๆ ในชุมชน ในวันที่การศึกษาและวิถีชีวิตของพวกเขาเดินสวนกันท่ามกลางสังคมเหลื่อมล้ำ
ปัญหาที่เกิดกับเด็กเปราะบางเหล่านี้ ประไพมองว่า หนึ่ง เกิดจากตัวเด็กที่ไม่อยากเรียน ซึ่งสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ในครอบครัว ซึ่งจำนวนไม่น้อย ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลเด็กๆ เพราะต้องทำงานหาเงิน เลี้ยงดูหลายชีวิตในครอบครัว
“บางครั้งเด็กต้องเข้าบ้านมืด เช้าตื่นไปโรงเรียนไม่ไหว”
สอง – เศรษฐกิจครอบครัวไม่เอื้ออำนวยให้เด็กไปโรงเรียนได้ รายจ่ายทางการศึกษาต่อการเปิดเทอมหนึ่งครั้ง ไม่ใช่จำนวนน้อยสำหรับครอบครัวหาเช้ากินค่ำ เด็กจำนวนไม่น้อยไม่มีค่าขนมไปโรงเรียน และจำนวนไม่น้อย ไม่มีอาหารเย็นรับประทาน
“ฉะนั้นเด็กเหล่านี้ก็จะรู้สึกว่าเขาไปไม่ได้ เพราะว่าเขาท้องหิว สอง ไปง่วง เรียนไม่ทันเพื่อน ไอ้กลุ่มที่สาม มันเป็นกลุ่มของเพื่อนที่ออกจากระบบไปแล้ว มาดึงเพื่อนในโรงเรียนออกไปด้วย กลุ่มที่สี่จะเป็นกลุ่มเด็กที่เขาจะต้องช่วยหารายได้เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว”