เขาเปิดฉากเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อย ผู้ที่คนรอบกายมักมองว่าเรียนไม่เก่งนัก เธอเรียนรู้ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนร่วมชั้น ทั้งเขียนช้า อ่านช้า ทำการบ้านช้า แถมท่าทางของเธอดูไม่ค่อยจะร่าเริงสมวัย
“เธอคงไม่ฉลาด” ใครต่อใครก็คิดเช่นนั้น
กระทั่งถึงคราวเลื่อนชั้น เด็กหญิงถูกจัดให้เรียนอยู่ในห้องโหล่ หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ห้องบ๊วย’ ในระบบการศึกษาที่แบ่งนักเรียนออกเป็นเลเยอร์ เก่ง-ปานกลาง-ไม่ฉลาด
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ อ๋อง-ศิริชัย คุ้มโห้ ผู้เป็นทั้งพ่อและเป็น ‘นักทัศนมาตร’ ใหม่หมาด ได้เริ่มกิจการร้านแว่นตาเบตเตอร์อาย (Better Eye By Optometrist) ศิริชัยไม่รอช้า เขาชวนลูกสาวมาตรวจวัดสายตาเพื่อหาความผิดปกติ – สำหรับเขาแล้ว การตรวจวัดค่าสายตาให้เด็กทุกๆ ปี เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนควรได้รับ
เด็กหญิงมีค่าสายตาเอียงล้วนสองข้าง -300 นั่นหมายความว่า ภาพที่ดวงตาของเธอมองเห็น คือภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง เธอเห็นโลกที่พร่าเลือนอยู่นานหลายปีจนกลายเป็นความปกติที่ไม่ทันสังเกต
“ผมรีบแก้ไขทันที ต้องแก้ไขเลย ซึ่งพอเราแก้ไขเสร็จแล้ว ลูกได้ใส่แว่น การเรียนพลิกเลย หน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่สอบได้ที่ 1 มาตลอด”
ผู้เป็นพ่อหยิบยกเรื่องราวมาเล่าอีกครั้งเพื่ออธิบายว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญปัญหาเดียวกับลูกสาวของเขา และมีเด็กอีกจำนวนมหาศาลที่ไม่มีโอกาสแก้ปัญหาทางสายตาในช่วงแรกเริ่มของวัยแห่งการเรียนรู้
หรือกว่าจะรู้ ปัญหาสายตาก็ลุกลามจนสายเกินแก้
บทสนทนากับ ในวันนี้ จึงว่าด้วยปัญหาทางสายตาของเด็กไทยในทัศนะของนักทัศนมาตร และการเดินทางของโครงการที่กำลังเริ่มต้นขึ้น พ่อแม่ ครู โรงเรียน และรัฐ ควรมีส่วนร่วมอย่างไรในการดูแลปัญหาสายตาที่กำลังพรากศักยภาพการมองเห็น การเรียนรู้ ตลอดจนอนาคตในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง