ถ้า ผอ. ดี โรงเรียนจะดีจริงไหม แล้วถ้าโรงเรียนดี ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงของการศึกษาจะถูกแก้ไขได้หรือไม่
โดยหลักการแล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนคือผู้มีบทบาทสำคัญที่จะผลักดันให้สถานศึกษานั้นๆ ก้าวไปข้างหน้า แต่บ่อยครั้งเรามักได้ยินเสียงโอดครวญว่า ปัญหาใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงก็คือกำแพงที่เรียกว่า ‘ผู้อำนวยการโรงเรียน’
แฟนเพจ ‘Equity Lab แล็บฯ เสมอภาค’ โดย สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ชวนฟังวงสนทนา Equity Talk #8 วันที่ 11 มีนาคม 2564 ในหัวข้อร้อนๆ ที่ว่า ‘ถ้า ผอ. ดี โรงเรียนก็ดี’ เพื่อค้นหาคำตอบร่วมกันว่าตรรกะนี้เป็นเหตุเป็นผลต่อกันจริงหรือไม่
เหล่า ผอ. ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในครั้งนี้ ได้แก่ ศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย และที่ปรึกษาชมรมนักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงและถิ่นทุรกันดาร สมเดช อ่างศิลา ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดเนินกระปรอก อำเภอเมือง จังหวัดระยอง และ ปนัดดา จันทวงศ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 51 อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินรายการโดย ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ผู้จัดการ WAY magazine และทีมสื่อสาร mappa
เกิดเป็น ผอ. แท้จริงแสนลำบาก
การนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดในฐานะหัวเรือใหญ่ของโรงเรียน ในสายตาคนทั่วไปอาจมองว่าผู้อำนวยการคือผู้กุมอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารสถาบันการศึกษาแต่เพียงผู้เดียว แต่เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่มาพร้อมกับอำนาจในตำแหน่งนี้ คือภาระความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ ผอ. ต้องแบกรับไว้เต็มไหล่บ่า
หากถามว่าบทบาทของ ผอ. แต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง ในที่นี้อาจจะพอสาธยายให้เห็นภาพได้บางส่วนเสี้ยว เริ่มจาก ผอ.ปนัดดา แห่งโรงเรียนประชานุเคราะห์ 51 ซึ่งต้องดูแลเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษาและนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษที่มีอยู่ทั้งสิ้นถึง 866 คน การจัดการศึกษาจึงมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนไม่น้อย
เธอเล่าว่า ภายในรั้วโรงเรียน ผอ. ต้องเป็นทุกอย่าง ตั้งแต่ช่วยเหลือคุณครู คอยอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ และด้วยความที่เป็นโรงเรียนประจำจึงมีภารกิจเพิ่มขึ้นอีกหลายด้าน
“โรงเรียนของเรามีตั้งแต่ ป.1-ม.6 และมีนักเรียนที่ต้องดูแลพิเศษกระจายอยู่ทุกระดับชั้น ส่วนชั้นมัธยมปลายจะมีการสอนสายอาชีพเพิ่มเติมหรือทวิศึกษาตามนโยบายของ สพฐ. อย่างเช่นสาขาช่างเชื่อมโลหะและเกษตร อีกทั้งเปิดให้มีหลักสูตร ปวช. รวมถึงห้องเรียนกีฬา ด้วยการศึกษาที่หลากหลายรูปแบบ ทำให้เราต้องแบ่งคุณครูดูแลหมวดต่างๆ และด้วยความที่เป็นโรงเรียนประจำ ผู้อำนวยการจึงต้องคอยดูแลทุกข์สุขของนักเรียนตลอด 24 ชั่วโมง”
ผอ.ปนัดดา บอกว่า ถึงแม้ตำแหน่ง ผอ. จะอยู่บนยอดสุดของโครงสร้าง แต่ในการทำงานจริงจะต้องทำงานร่วมกับครูในทุกๆ กิจกรรม มิใช่เป็นเพียงผู้สั่งการ
“เวลาทำงาน เราไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็น ผอ. เราจะเป็นเสมือนเพื่อน พี่ น้อง ทำงานในลักษณะร่วมด้วยช่วยกันมากกว่า”
เช่นเดียวกับ ผอ.สมเดช แห่งโรงเรียนวัดเนินกระปรอก ที่กล่าวว่า หลักการทำงานของ ผอ. มีกรอบที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ในเนื้องาน การเป็นผู้อำนวยการก็คือผู้อำนวยความสะดวก
“ผอ. ต้องเป็นได้ทุกอย่างในโรงเรียน พูดอีกแบบก็คือ ทำทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นนักการภารโรง หรือคนเสิร์ฟอาหาร แม้จะไม่ใช่หน้าที่ก็ตาม แต่ก็ทำไปเพื่อช่วยเหลือเด็ก ครู ผู้ปกครอง หรือโรงเรียน เท่าที่เราจะช่วยได้
“เวลาประชุมครู เราไม่ใช้โต๊ะ เก้าอี้ แต่ใช้วิธีนั่งกับพื้นเป็นวงกลม ให้ทุกคนนั่งเสมอกัน เห็นหน้าเห็นตากันทุกคน ทำให้เกิดความใกล้ชิดเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
ส่วน ผอ.ศุภโชค แห่งโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี ซึ่งดูแลเด็กชนเผ่าทั้งสิ้นกว่า 500 คน เล่าว่า เดิมทีตำแหน่งนี้เรียกกันว่าครูใหญ่ ก่อนจะขยับมาเป็นอาจารย์ใหญ่ และเป็นผู้อำนวยการตามข้อกฎหมาย บทบาทสำคัญของผู้อำนวยการโรงเรียนก็คือ อำนวยการให้งานทุกอย่างราบรื่น ตลอดจนลงลึกไปถึงหน่วยปฏิบัติระดับห้องเรียน เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพที่สุดเท่าที่โรงเรียนจะจัดให้ได้
“คนทั่วไปอาจมองว่า ผอ. เป็นเหมือนซีอีโอ บริหารแบบท็อป-ดาวน์ แต่สำหรับผม ผมเน้นการทำงานแนวราบ เสมือนว่าผู้บริหารอยู่ระนาบเดียวกับทุกฝ่าย เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนการทำงานของครูในฐานะนักรบตัวจริง”
เมื่อ ผอ. เจอตอของปัญหา
ความท้าทายที่ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องเผชิญ ไม่ใช่เพียงแค่การบริหารจัดการปัญหาภายในรั้วโรงเรียนในแต่ละวันเท่านั้น หากอุปสรรคที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะจัดการศึกษาที่เหมาะสม เท่าเทียม และมีคุณภาพ ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ นานาของระบบการศึกษาไทย
ปัญหาใหญ่ข้อนี้ ผอ.ศุภโชค วิเคราะห์ว่า ต้นเหตุที่แท้จริงคือ mindset ของคนในระบบการศึกษาที่ไม่ตรงกัน เช่น เขตพื้นที่การศึกษาอยากให้โรงเรียนเป็นแบบหนึ่ง กระทรวงศึกษาธิการอยากให้โรงเรียนเป็นอีกแบบหนึ่ง ขณะที่ ผอ. กว่า 30,000 โรงเรียนทั่วประเทศก็มองเป้าหมายของโรงเรียนอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นทำอย่างไรให้ mindset ของทุกฝ่ายตรงกัน เพื่อจะกำหนดคุณค่าของการศึกษาที่ตรงกัน ภายใต้ปรัชญาการศึกษาที่มุ่งพัฒนาคนเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
“ยุคหนึ่งเรากำหนดคุณค่าของการศึกษาอยู่ที่คะแนน O-NET บางยุคก็มองว่าการประสบความสำเร็จคือการได้ใบประกาศเกียรติคุณต่างๆ จนเกิดการล่ารางวัลกันขึ้นมา หรือเวลาเขตพื้นที่การศึกษามาตรวจเยี่ยมโรงเรียนก็จะมองหาคุณค่าของการศึกษาไม่เหมือนกัน ถ้าโรงเรียนไหนตั้งแถวต้อนรับดีๆ จัดสวนหย่อมสวยๆ จัดเบรกอร่อยๆ เขาก็แฮปปี้ แล้วบอกว่าโรงเรียนนี้ดี
“ฉะนั้นต้นเหตุของปัญหาก็คือ mindset ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายที่มองเป้าหมายทางการศึกษาไม่ตรงกัน ทำให้การปฏิบัติต่างกัน ที่ผ่านมาเราจะเห็นนโยบายต่างๆ หลั่งไหลลงมา อย่างโรงเรียนดีศรีตำบล โรงเรียนสุจริต โรงเรียนสีขาว โรงเรียนดีสี่มุมเมือง ฯลฯ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะ mindset ในการทำงานของแต่ละฝ่ายไม่ตรงกัน ถ้า ผอ. ตีความนโยบายไม่ถูก ก็จะทิ้งเด็ก แล้วหันไปทำงานอื่นที่ผิดเป้า” ผอ.ศุภโชค กล่าว
ประเด็นนี้ ผอ.ปนัดดา กล่าวเสริมว่า mindset ของครูซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนการศึกษาก็มีส่วนสำคัญ หากครูทุกคนในองค์กรมี mindset ที่ดี มีแรงจูงใจใฝ่ที่จะพัฒนาเด็ก มีแรงบันดาลใจที่จะช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส ก็จะทำให้ครูมีวินัย อยากมาโรงเรียนแต่เช้า เพื่อที่จะช่วยเหลือเด็กๆ จนจบการศึกษา
“mindset ของคุณครูเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน และไม่ใช่เฉพาะครูเท่านั้น ผอ. เองก็ควรจะมี mindset ที่ดีด้วย ต้องหาวิธีสื่อสารกับครูให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา และรักในงานของเขา เพื่อจะนำไปสู่การพัฒนาเด็กให้ได้”
ทางด้าน ผอ.สมเดช มองอีกมุมว่า ปัญหาทั้งหมดของการศึกษาขึ้นอยู่กับว่าจะมองเป็นปัญหาหรือมองเป็นโอกาส หากมองเป็นโอกาสก็ต้องป่ายปีนขึ้นไปเพื่อมองให้เห็นสิ่งที่อยู่นอกกำแพง แต่หากมองว่าเป็นปัญหาก็ต้องหาวิธีการรับมือ คือ หนึ่ง-แก้ไขปัญหา สอง-ตัดปัญหาไปเสีย
“เรื่องบางเรื่องที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไม่เข้าใจ เราก็ต้องพยายามสร้างความเข้าใจ ตามหลักแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง โดยทั้งหมดนี้จะต้องเป็นไปเพื่อตอบคำถามว่า เราทำเพื่อใคร เพื่อตัวเองหรือเด็ก”
ผอ.สมเดช กล่าวว่า สิ่งที่ ผอ. ควรกระทำเมื่อเผชิญปัญหาคือ พัฒนาปัญญาภายใน กำกับตัวเองได้ รู้คุณค่าตนเองและผู้อื่น และพัฒนาปัญญาภายนอก ด้วยการเพิ่มทักษะความรู้ จึงจะทำให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
“เจตนาต้องชัดเจน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริงและรวดเร็ว ยกตัวอย่างแนวทางหนึ่งที่โรงเรียนวัดเนินกระปรอกนำมาใช้ในการเปลี่ยน mindset คือ การนำกระดิ่งออก ไม่มีการอบรมเด็กหน้าเสาธง แล้วให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะการอบรมเด็กหน้าเสาธงมักมีแต่เรื่องลบมากกว่าเรื่องบวก เช่น ต่อว่าเด็กที่มาโรงเรียนสาย ทำให้เด็กถูกกดดันตั้งแต่อยู่หน้าเสาธง” ผอ.สมเดช กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาต้นตอการศึกษายังคงอยู่ ผอ.ศุภโชค ยอมรับว่า โดยส่วนตัวคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดของผู้ที่อยู่ในโครงสร้างเบื้องบนได้ ทำได้เพียงปรับ mindset ของครูในโรงเรียนเท่านั้น
“เราต้องปักธงประเด็นปัญหาในโรงเรียนของเราให้ตรงกันก่อน เพราะสนามรบที่แท้จริงในการเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาอยู่ที่ห้องเรียน วิธีแก้ปัญหาที่ผมทำคือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในห้องเรียน ต้องสร้างค่านิยมร่วมในโรงเรียนของเราเองด้วยการสอนน้อยๆ เรียนมากๆ ให้ครูลดบทบาท teaching แล้วเพิ่ม learning โฟกัสที่ห้องเรียนให้มากขึ้น
“ส่วนนโยบายใดที่ไม่อยู่ในทิศทางของเรา เราก็ไม่ฝืนจนน่าเกลียดเกินไป ถ้าหน่วยเหนืออยากได้อะไร เราก็จัดให้ เพื่อเป็นการหาทางออกที่กระทบต่อเด็กน้อยที่สุด แต่ถ้านโยบายใดที่เด็กได้ประโยชน์โดยตรง เราจะทุ่มจนสุดตัว
ผอ.ศุภโชค มีข้อแนะนำด้วยว่า วิธีการที่เขาใช้ในการทบทวนบทบาทและจุดยืนตนเอง ว่าช่วงที่ผ่านมาได้ทำอะไรให้โรงเรียนบ้าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือเปิดดู LINE ย้อนหลังว่า ผอ. ได้พูดคุยอะไรกับครูบ้าง
“ถ้าแต่ละสัปดาห์ผมคุยเรื่องความก้าวหน้าในการสอน คุยเรื่องกิจกรรมดีๆ ในห้อง แสดงว่าผมพอจะอยู่ในร่องในรอยอยู่บ้าง แต่ถ้าเมื่อไหร่ผมถามแต่เรื่องส่งรายงานหรือยัง ทำเอกสารจัดซื้อหรือยัง นั่นแสดงว่าผมเริ่มหลุดจากเป้าหมายการศึกษาแล้ว” ผอ.ศุภโชค กล่าว
ศิลปะของผู้บริหาร
ภายใต้โครงสร้างระบบราชการไทยที่มีการบริหารจากบนสู่ล่างไปตามลำดับชั้น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับโดยเคร่งครัด ผอ.สมเดช ย้ำว่า เมื่อเบื้องบนสั่งการลงมา ผอ. ไม่ควรแข็งขืน เพราะเพียงแค่คิดว่าไม่ทำก็ผิดแล้ว
“เมื่อโรงเรียนอยู่ในกำกับของรัฐ นโยบายจึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือเรื่องวิธีการต่างหาก เราต้องแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง โดยยึดถือเป้าหมายทางการศึกษาเป็นหลัก”
เช่นเดียวกับ ผอ.ปนัดดา ที่มองว่า นโยบายรัฐคือสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่ง ผอ. มีหน้าที่บูรณาการนโยบายให้เข้ากับโรงเรียนโดยไม่เพิ่มภาระให้แก่ครู รวมถึงสร้างความเข้าใจแก่ครูให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้อง
ด้าน ผอ.ศุภโชค มองในแง่ดีว่า ที่จริงแล้วทุกนโยบายที่ถูกส่งจากส่วนกลางไปยังโรงเรียนทั่วประเทศ ล้วนมีจุดเริ่มต้นด้วยเจตนารมณ์ที่ดีและมีความปรารถนาดีต่อเด็ก แม้บางกรณีอาจไม่ตรงกับบริบทของแต่ละพื้นที่ ดังนั้น ผอ. จึงต้องมีหน้าที่ออกแบบกิจกรรมที่มีอยู่ให้สอดคล้องไปกับนโยบาย โดยไม่กระทบต่อการศึกษาของเด็ก
“ผมเข้าใจว่าการยิงนโยบายจากส่วนกลางลงมายังโรงเรียน 30,000 โรงทั่วประเทศ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้เหมือนกันทุกโรง ทั้งบริบทที่ต่างกัน ความพร้อมของเด็กที่ต่างกัน ท้ายที่สุดเราต้องดูที่เจตนารมณ์เป็นตัวตั้ง แล้วปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของส่วนกลาง ฉะนั้นไม่ว่ามีนโยบายใดๆ ลงมา ผอ. ต้องถามตัวเองก่อนเสมอว่าทำแล้วเด็กจะได้อะไร ถ้าตอบได้ก็ลงมือทำ ซึ่งขึ้นอยู่กับศิลปะของผู้บริหารและความหนักแน่นใน mindset ของตนเอง”
อย่างไรก็ตาม ผอ.ศุภโชค กล่าวว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นคือ ‘วิกฤติเชิงนโยบาย’ ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่ต่อเนื่องของผู้บริหาร ทำให้หน่วยปฏิบัติเกิดความไม่มั่นใจในนโยบาย ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษาไทย
“ความไม่ต่อเนื่องของผู้บริหารอาจไม่ถึงกับเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่ก็ทำให้การศึกษาไทยเดินช้าลง แม้จะเดินไปข้างหน้า แต่ก็เดินช้ากว่าบ้านเมืองอื่น
“ผมเชื่อมั่นว่า คนที่จะปฏิรูปการศึกษาได้ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือครูกับ ผอ. ที่อยู่ใกล้ชิดกับนักเรียนที่สุด เลิกคาดหวังเลยว่าข้างบนจะส่งซูเปอร์แมนมาช่วยเรา ไม่มีหรอกครับ เราคือคนที่ต้องรบให้ได้และต้องรบให้ชนะ เพราะสนามรบที่แท้จริงอยู่ที่ห้องเรียน” ผอ.ศุภโชค กล่าว
ถ้า ผอ. ดี โรงเรียนจะดี?
คำถามหลักของวงเสวนา ถ้า ผอ. ดี โรงเรียนจะดีจริงหรือไม่ ผอ.ปนัดดา ให้คำตอบไว้ว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการคือผู้นำทีมขับเคลื่อนโรงเรียนไปข้างหน้า ดังนั้นถ้าผู้นำทำสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง และนำพาเด็กไปสู่เป้าหมายของการศึกษาได้ก็นับว่าบรรลุวัตถุประสงค์
“ถ้าผู้นำมีการวางแผนการบริหารงานไปในแนวทางที่ถูกต้อง ตรงกับบริบทของนักเรียนและชุมชน ทำให้โรงเรียนมีมาตรฐาน ฉะนั้น ถ้าผู้นำดี โรงเรียนก็ดีค่ะ”
ส่วน ผอ.สมเดช กล่าวเสริมว่า ไม่มีโรงเรียนใดเยี่ยม ถ้า ผอ. แย่ และไม่มีโรงเรียนใดแย่ ถ้า ผอ. เยี่ยม
“คำจำกัดความของ ‘ความดี’ นั้น ตัว ผอ. เองคงไม่สามารถบอกชัดเจนได้ เหตุผลหลักๆ เพราะความดีเป็นสิ่งที่มีไว้ให้คนอื่นบอก
“ถ้าสิ่งที่ทำ มันถูกต้อง และเด็กได้ประโยชน์ ก็ลงมือทำต่อไป ไม่จำเป็นต้องรอให้คนอื่นมาบอกว่าดีไม่ดี บางโรงเรียนแม้ไม่มี ผอ. ก็สามารถไปได้ดีด้วยซ้ำ”
ปิดท้ายที่ ผอ.ศุภโชค เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า จากทรงความจำวัยเด็ก ผอ. เป็นบุคคลที่น่าเกรงกลัว ไม่มีเด็กกล้าเข้าใกล้ เป็นอะไรที่เข้าถึงยาก ความทรงจำนี้จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาอยากปรับเปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ
“อย่าให้ห้อง ผอ. เป็นห้องที่น่ากลัวที่สุดในโรงเรียน ถ้าท่าทีของ ผอ. กับเด็กมีความใกล้ชิดกัน ก็จะทำให้ครูมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กด้วยเช่นกัน
“ผมมักจะนึกถึงตอนเป็นเด็กว่าเราชอบอะไร แล้วเราก็จะผลักดันให้ครูลองทำสิ่งเหล่านั้นกับเด็ก อย่ามองว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ขอเพียงแค่โอกาสและจังหวะชีวิตที่อาจจะยังมาไม่ถึง”