ด้วยเหตุนี้ การจัดการศึกษาของประเทศไทยจึงต้องเน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพให้สามารถสนองตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนาคุณภาพคนให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ (area based) และความต้องการของตลาดแรงงานที่มีความซับซ้อนหลากหลายมากขึ้น
ในช่วงปี พ.ศ. 2560-2561 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษาทั้งด้านกฎหมาย กลไก และนวัตกรรมการศึกษาหลายประการ อาทิ การยก (ร่าง) พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … การจัดตั้ง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา การประกาศใช้แผนการศึกษาแห่งชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 เป็นต้น
ในรายงานความก้าวหน้า ‘โครงการพัฒนาเครื่องมือและจัดเก็บข้อมูลความก้าวหน้าในการพัฒนาเด็ก เยาวชน และแรงงานรุ่นใหม่ระดับจังหวัดตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา (SDG4)’ จัดทำโดย เทวธิดา ขันคามโภชก์ และคณะ (ปี 2562) ได้นำเสนอข้อมูลที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้า จุดอ่อน และประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญในการจัดการศึกษาของไทย เพื่อนำไปสู่เป้าหมายคือการศึกษาที่ยั่งยืน
นี่คือ 5 สถานการณ์ด้านต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาไทยที่ควรรู้ เพื่อเป้าหมายการศึกษาที่ยั่งยืน
1. แนวโน้มการเข้าถึงการศึกษาดีขึ้น
โดยภาพรวมพบว่า สัดส่วนของเด็กที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาปฐมวัยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก นักเรียนอยู่ในระบบการศึกษายาวขึ้น สะท้อนจากอัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมปลายและ ปวช. จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากมาตรการสนับสนุน เช่น โครงการเรียนฟรี 15 ปี กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) การจัดการศึกษาสำหรับผู้อยู่นอกระบบโรงเรียน
อย่างไรก็ดี ยังมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษา โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่อยู่ในครอบครัวยากจน พบว่าในปี 2562 มีนักเรียนที่ผ่านการคัดกรองเพื่อรับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนจาก สพฐ. และเงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไขของ กสศ. ประมาณ 2.6 ล้านคน (โดยเป็นนักเรียนยากจนพิเศษที่คาดว่าจะได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนภาคเรียนที่ 1/2562 ประมาณ 0.7 ล้านคน)
นอกจากนี้ ยังมีเด็กและเยาวชนพิการ ไม่ปรากฏสัญชาติและอยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่เข้าไม่ถึงบริการการศึกษาทุกระดับด้วยเหตุปัจจัยแตกต่างกันไปอีกด้วย
2. ความเหลื่อมล้ำมีผลต่อการศึกษา
เมื่อพิจารณาจากระดับคะแนนเฉลี่ย O-NET เด็กไทยมีคะแนนต่ำกว่าร้อยละ 50 หรือระดับคะแนนเฉลี่ย PISA และ TIMSS ที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน ผลประเมิน PISA 2018 พบว่า นักเรียนไทยมีคะแนนเฉลี่ยในด้านการอ่าน 393 คะแนน คณิตศาสตร์ 419 คะแนน วิทยาศาสตร์ 426 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ทุกด้าน
เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของคะแนนตั้งแต่การประเมินรอบแรกจนถึงปัจจุบัน พบว่า ผลการประเมินด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของไทยไม่เปลี่ยนแปลงนัก แต่ผลการประเมินด้านการอ่านมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วง เพราะความสามารถในการอ่านเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ที่จะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
ขณะเดียวกัน ผลการทดสอบนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงคุณภาพอีกด้วย กล่าวคือ นักเรียนที่มีสถานะได้เปรียบทางเศรษฐกิจและสังคมมีผลการทดสอบในทุกวิชาดีกว่านักเรียนที่เสียเปรียบ อีกทั้งมีความไม่เท่าเทียมในการจัดการศึกษาเมื่อพิจารณาจากความพร้อม/ไม่พร้อม ด้านครูและเครื่องมือสำหรับจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียน
3. ความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาของแต่ละพื้นที่ยังคงปรากฏ
เมื่อพิจารณาจากอัตราการเข้าเรียนรวมระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา คะแนนเฉลี่ยการทดสอบ O-NET มัธยมศึกษาตอนปลาย ค่าเฉลี่ยระดับสติปัญญา (IQ) ของเด็กนักเรียนไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า 5 จังหวัดที่มีความก้าวหน้าด้านการศึกษาน้อยที่สุด คือ นราธิวาส ปัตตานี แม่ฮ่องสอน หนองบัวลำภู และตาก ขณะที่ 5 จังหวัดที่มีความก้าวหน้าด้านการศึกษามากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี นนทบุรี นครปฐม และภูเก็ต
นำไปสู่ข้อเสนอที่ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างพื้นที่ โดยปรับระบบบริหารจัดการสถานศึกษาขนาดเล็กให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน พัฒนาระบบประเมินคุณภาพสถานศึกษาที่ยึดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นหลัก รวมทั้งให้การช่วยเหลืออุดหนุนและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าเรียนต่อระดับมัธยมปลายและอาชีวศึกษา
4. เมื่อความรู้มีอายุสั้นลง เปลี่ยนไว ไม่แน่นอน ซับซ้อน คลุมเครือ
ในอนาคต ความรู้จะมีอายุสั้นลง เปลี่ยนไว ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ การจัดการศึกษาจึงต้องสร้างทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้ผู้เรียนมีทั้งความรู้พื้นฐาน (knowledge) เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ ทัศนคติ/อุปนิสัย (attitude) เช่น การใฝ่หาความรู้ ความ อดทน ความรับผิดชอบ ฯลฯ และทักษะ (skill) ในด้านความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นนวัตกร ความคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะสื่อสารและทำงานเป็นทีม ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว
การศึกษาทั่วโลก (Global Education Monitoring Report: GEM) ภายใต้การสนับสนุนขององค์การยูเนสโกที่เสนอให้ประเทศต่างๆ ไม่หยุดเพียงแค่การทำให้เด็กและเยาวชนวัยเรียนเข้าสู่ระบบการศึกษาเท่านั้น แต่ต้องไปให้ถึงผลลัพธ์การเรียนรู้และการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศด้วย
ขณะเดียวกัน หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของ SDG4 คือการสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ สันติศึกษา ความเป็นพลเมืองโลก เป็นต้น คณะทำงานฯ ได้เสนอให้มีการบรรจุสาระการเรียนรู้ในประเด็นสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้ในหลักสูตรการศึกษาระดับต่างๆ ด้วย
5. Big Data คือสิ่งจำเป็น
การใช้ Big Data ในการบริหารจัดการของโรงเรียนและหน่วยงานในพื้นที่มากขึ้น (ไม่ใช่เพียงแค่ฐานข้อมูลที่ใช้บันทึกและรายงานผลไปยังหน่วยงานส่วนกลางเท่านั้น) รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เช่น ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร สถานศึกษา หน่วยงานส่วนกลาง ภาคเอกชน ฯลฯ สามารถใช้ประโยชน์และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาได้ โดยเฉพาะการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาสำหรับประชากรทุกคนทั้งในและนอกระบบการศึกษา ด้วยการจัดสรรงบประมาณตามอุปสงค์เป็นรายบุคคล (Demand-side Financing) ตลอดจนการระดมทุนจากภาคเอกชนและประชาสังคมเพื่ออุดช่องว่างในส่วนที่งบประมาณภาครัฐไม่สามารถสนับสนุนได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ฯลฯ
เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs ) เป็นวาระการพัฒนาระยะ 15 ปี (พ.ศ. 2559-2573) ที่มีเป้าหมายหลัก 17 ข้อ สำหรับด้านการศึกษานั้น กำหนดเป็นเป้าหมาย SDG4: Quality Education สร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต