เราเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร?
คำตอบของคำถามนี้อาจมีมากมายหลายเหตุผลเกินจินตนาการ
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ปลายทางของการศึกษาจะช่วยติดตั้งเครื่องมือและทักษะต่างๆ ให้ผู้เรียน การศึกษาจะช่วยเกลาทิศทางชีวิตให้ผู้เรียนได้ค้นเจอความสามารถ ความถนัด ตัวตน และอาชีพที่จะหล่อเลี้ยงตนเองได้ในอนาคต
ทว่าการศึกษาไทยทำได้เช่นนั้นจริงหรือ? – นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย
จากคำถามข้างต้นจึงเป็นที่มาของการจัดทำ ‘โครงการพัฒนาเครื่องมือเพื่อประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน’ โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ที่มุ่งเน้นลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้แคบลง
โครงการดังกล่าวได้ทำการศึกษาประเมินความพร้อมของเด็กและเยาวชนไทยภายใต้การปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ผลสำรวจพบว่า ท่ามกลางโลกที่เติบโตและแข่งขันสูงขึ้น แต่ทักษะแรงงานของเยาวชนไทยยังมีช่องว่างอยู่มาก โดยเฉพาะในด้านทักษะความสามารถในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาต่างประเทศหรือทักษะการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นายจ้างมักคาดหวังจากลูกจ้าง
การประเมินความพร้อมและสำรวจทักษะของเด็กและเยาวชนก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน (Career Readiness) ในครั้งนี้ จึงเป็นเครื่องยืนยันให้เราทราบถึงระดับความสามารถของเยาวชนไทย
ท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาต่างๆ ช่วยให้เยาวชนค้นหาความถนัด ตัวตน ความสามารถ และอาชีพที่พวกเขาต้องการ รวมถึงช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียนและลดปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบได้
สำคัญไปกว่านั้น การประเมินความพร้อมดังกล่าวจะเป็นตัวช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ เนื่องจากช่วยสะท้อนความจริงต่างๆ กลับไปยังหน่วยงานในระดับพื้นที่และระดับประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลไปใช้กำหนดแผนยุทธศาสตร์และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการปรับทิศทางการศึกษาให้สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่และความต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น
ท้องถิ่นร่วมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
ข้อมูลภาพรวมสถานการณ์และปัญหาด้านการศึกษาประจำภาคการศึกษา 2561 จาก isee.eef เว็บไซต์ที่สนับสนุนโดย กสศ. ระบุถึงกรณีตัวอย่างของจังหวัดสุรินทร์ที่มีเด็กและเยาวชนอายุ 12-21 ปี อยู่นอกระบบการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 26,646 จากทั้งหมด 180,437 คน
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กและเยาวชน ทำให้จังหวัดสุรินทร์มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดการศึกษา โดยพยายามแก้ไขปัญหาและหาแนวทางที่สอดคล้องตามบริบทของพื้นที่
ในปี 2560 จังหวัดสุรินทร์ได้ริเริ่ม ‘โครงการการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ’ เนื่องจากที่ผ่านมามีเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษากลางคันจำนวนมาก เป็นปัญหาด้านการศึกษาที่จังหวัดสุรินทร์เผชิญมาอย่างยาวนาน ผลกระทบจากปัญหานี้ส่งผลให้เด็กไม่มีศักยภาพในการประกอบอาชีพ กลายเป็นแรงงานที่ขาดทักษะ ได้รับค่าตอบแทนที่ต่ำและมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี โครงการดังกล่าวจึงมุ่งเน้นการพัฒนาอาชีพให้แก่เด็กที่ออกจากระบบการศึกษากลางคันด้วยการอบรมทักษะอาชีพตามความต้องการของตลาดแรงงาน
ที่สำคัญโครงการนี้อาจช่วยสร้างโอกาสให้เด็กที่หลุดออกจากการเรียนได้มีโอกาสกลับเข้ามาศึกษาต่ออีกครั้ง
กลไกการทำงานถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ หนึ่ง-ระดับจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สอง-ระดับอำเภอ มีนายอำเภอเป็นประธาน และสาม-ระดับพื้นที่ มีนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นประธาน ทำให้กระบวนการจัดการต่างๆ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันทั่วทั้งจังหวัด
จังหวัดสุรินทร์มุ่งเน้นการสร้างงานให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่แบ่งออกเป็น 6 ด้าน คือ 1) ส่งเสริมให้เด็กเป็นคนเก่ง ดี มีงานทำ 2) พัฒนาสติปัญญา 3) ส่งเสริมสุขภาพ 4) พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม 5) พัฒนาทักษะชีวิต และ 6) ส่งเสริมอาชีพ ซึ่งยุทธศาสตร์ทั้งหมดนี้กลั่นกรองมาจากเวทีสมัชชาการศึกษาสุรินทร์ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
ปัจจุบันใช้ชื่อโครงการว่า ‘การจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา’ มุ่งให้เด็กมีงานทำหลังจบการศึกษา และค้นหาเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษากลางคันเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูศักยภาพ โดยจะสอบถามเด็กว่าต้องการเรียนต่อ กศน. หรือต้องการฝึกอาชีพ ซึ่งมีหลักสูตรฝึกอาชีพระยะสั้นร่วมกับวิทยาลัยการอาชีพ และมีการประสานงานกับภาคเอกชน หากเด็กต้องการทำงานในพื้นที่
เพียง นิจิตตะโล ผู้อำนวยการกองการศึกษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการศึกษาเพื่อการมีงานทำว่า เกิดจากแนวคิด ‘สุรินทร์ไม่ทอดทิ้งเด็ก’ เพราะที่ผ่านมามีเด็กออกจากระบบการศึกษาค่อนข้างมาก ทั้งเรียนไม่จบและไม่ศึกษาต่อ ส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจนและเรียนถึงแค่ ม.3 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า
“หลังจากค้นหาเด็กกลุ่มนี้พบ ทำให้เราสามารถดึงเข้ากลับมาในระบบได้ส่วนหนึ่ง ส่วนเด็กที่ไม่ต้องการกลับเข้ามาในระบบ เราจะจัดโครงการฝึกฝนพัฒนาอาชีพก่อนการทำงาน ทำให้เด็กได้รับค่าตอบแทนในการทำงานในระดับที่สามารถดำรงชีวิตได้ และสนับสนุนให้เป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นลูกจ้างแรงงานที่มีคุณภาพต่อไป” ผู้อำนวยการกองการศึกษา กล่าว
สำหรับการพัฒนาเด็กในระบบ จังหวัดสุรินทร์จะเน้นเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาเพื่ออาชีพ โดยร่วมมือกับโรงเรียนที่มีความพร้อมในการพัฒนาอาชีพ เริ่มจากอาชีพที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ เช่น เกษตรกรรม การทอผ้าไหม การทำเครื่องเงิน และการท่องเที่ยวช้าง โดยบรรจุให้เป็นหลักสูตรในระดับ ม.ต้น ปัจจุบันโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรเกษตรของจังหวัดมีจำนวน 6 โรงเรียน หลักสูตรวัฒนธรรม 1 โรงเรียน และหลักสูตรการท่องเที่ยว 1 โรงเรียน
นอกจากนี้ มีการส่งเสริมความรู้แก่เด็กและเยาวชนด้วยการสร้าง ‘กล่องความรู้กินได้’ เป็นการรวบรวมอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ในพื้นที่สุรินทร์ ซึ่งจะมีขั้นตอน วิธีการ แหล่งข้อมูล ที่สามารถศึกษาเรียนรู้ได้ว่า หากต้องการประกอบอาชีพไหนควรจะต้องมีองค์ความรู้หรือต้องพัฒนาเรื่องอะไร เพื่อให้เด็กได้ค้นหาตัวเองและเตรียมความพร้อมในอนาคต
การจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำของในจังหวัดสุรินทร์ เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าท้องถิ่นก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเรียนรู้และจัดการศึกษาให้ลูกหลานตัวเองได้
แต่สิ่งสำคัญที่จะสนับสนุนให้ท้องถิ่นทำได้สำเร็จคือ การมองเห็นภาพเดียวกันตั้งแต่ผู้บริหารระดับจังหวัดจนถึงผู้ปฏิบัติงาน การเห็นมองเห็นความสำคัญของเด็กเยาวชนที่อยู่ในชุมชนในฐานะผู้เรียน เพราะท้ายที่สุดเยาวชนเหล่านั้นจะเติบโตและกลับมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาจังหวัดของตนเองต่อไปในอนาคต