เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความจนคืออุปสรรคสำคัญที่กดทับโอกาสในการมีชีวิตที่ดีมีคุณภาพ ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นผลลัพธ์ปลายทางของความเหลื่อมล้ำ – ความหิวก็เช่นกัน
มีข้อมูลที่น่าตระหนกพบว่า ฤดูกาลปิดเทอมอันยาวนานจากมาตรการล็อคดาวน์ ‘อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ’ ในช่วงวิกฤติโรคระบาด COVID-19 แทนที่จะเป็นห้วงเวลาแห่งความสุขที่เด็กๆ จะได้ออกไปวิ่งเล่นสนุกสนานและผ่อนคลายจากบรรยากาศการเรียนอันเคร่งเครียด แต่กลับปรากฏว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยต้องประสบภาวะทุพโภชนาการ ขาดสารอาหาร น้ำหนักลด หรือการเจริญเติบโตทางร่างกายไม่สมวัย และนั่นย่อมส่งผลไปถึงพัฒนาการทางสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการอย่าง สง่า ดามาพงษ์ ที่ปรึกษาสำนักโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า ปัญหาเด็กขาดสารอาหาร หรือมีรูปร่างผอม เตี้ย มักเกิดขึ้นเสมอกับเด็กในกลุ่มเปราะบาง หรือเด็กในครอบครัวที่มีฐานะยากจน รวมถึงเด็กชนบทยังมีแนวโน้มขาดสารอาหารมากกว่าเด็กในเขตเมือง ยิ่งช่วงเวลาที่เด็กต้องอยู่กับบ้านนานถึงเกือบ 4 เดือน ปัญหานี้ก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
นอกจากภาวะทุพโภชนาการแล้ว ยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องเผชิญภาวะโภชนาการเกินหรือโรคอ้วน จากการรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ถูกสุขภาวะ ทั้งขนมกรุบกรอบและอาหารประเภทหวาน มัน เค็มทั้งหลาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมาได้ง่าย
ปัญหาความยากจนที่ปรากฏให้เห็นบนยอดสุดของภูเขาน้ำแข็งนั้น เบื้องล่างของภูเขาลูกนี้คือปัญหาโครงสร้างทางสังคมอันเหลื่อมล้ำที่ซุกอยู่ใต้ฐาน ดังที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) กล่าวไว้ว่า
“การระบาดของ COVID-19 ครั้งนี้เผยให้สังคมไทยได้เห็นว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้นลึกกว่าที่เราเข้าใจ และเด็กจำนวนหนึ่งเปราะบางกว่าที่เราคิด…
“กสศ. (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา) มีข้อมูลชัดเจนจากการเก็บข้อมูลทำวิจัย โดยพบว่าเด็กที่เรียกว่า ‘ยากจนพิเศษ’ พ่อแม่ยากจนสุดๆ นั้น พอโรงเรียนเปิดไม่ได้ เด็กก็ขาดอาหาร หมายความว่าเด็กกลุ่มนี้อาหารที่บ้านไม่พอ ไม่มีนมดื่ม ฉะนั้นถ้าได้ไปโรงเรียนก็จะได้กินอาหารโรงเรียน แล้วก็ได้ดื่มนม เขาก็จะมีโภชนาการที่ดี แต่พอเกิดเหตุการณ์ COVID-19 เด็กเหล่านี้น้ำหนักลด ทำให้เห็นว่ามีเด็กที่เปราะบางขนาดนี้อยู่ ผมเองก็ไม่เคยนึกว่า ในสังคมของเราจะมีคนที่ยากลำบากถึงขนาดนี้”
สอดคล้องกับคำอธิบายของ รศ.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มองปรากฏการณ์ความเหลื่อมล้ำจากวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ว่า นับจากนี้ไปจนถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของคนระดับฐานล่างในสังคม
“คนเหล่านี้ก็คือคนที่เปราะบาง คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่มั่นคง คนเหล่านี้จะต้องต่อสู้เพื่อให้อยู่รอด พวกเขาต้องลำบากยิ่งขึ้น และเราจะเห็นว่าโครงสร้างเดิมได้ทำร้ายคนเหล่านี้อย่างไร”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า จะมีใครบ้าง องค์กรใดบ้าง ที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ทุเลาเบาบางลงได้
ทางออกหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในแวดวงการศึกษาคือ การหันกลับไปสู่การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่โดยอาศัยพลังชุมชนท้องถิ่นเป็นฐาน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกทาง
ด้วยแนวคิดที่ว่า กลไกการทำงานในระดับชุมชนท้องถิ่นจะช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่ ช่วยลดช่องว่างของกลไกรัฐที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบและโครงสร้างซับซ้อน ที่สำคัญยังเป็นการย่อโจทย์ปัญหาความเหลื่อมล้ำจากระดับประเทศให้จัดการได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนและขนาดของปัญหาลงได้ เพราะหน่วยงานและบุคลากรที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการตนเองได้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพกว่าภาครัฐส่วนกลาง
ตัวอย่างของการแก้ปัญหาปากท้องของชุมชน โดยคนในชุมชน เพื่อคนในชุมชน อาทิ การรวมตัวของกลุ่มเกษตรกรตำบลหนองสนิท อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ ที่ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาระบบทดลองการพัฒนาแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส หรือทุนพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. โดยมีการรวมกลุ่มของผู้สูงอายุ คนยากจนด้อยโอกาส คนว่างงาน ผู้พิการ รวมถึงกลุ่มเยาวชนนอกระบบที่ขาดโอกาสทางการศึกษา เข้าฝึกอบรมส่งเสริมอาชีพ กระทั่งในเวลาต่อมาสามารถจัดตั้งเป็น ‘สหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิท’
ผลจากความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกสหกรณ์ฯ ทำให้สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นผักกวางตุ้ง คะน้า ต้นหอม ฟักทอง ฟักเขียว ฯลฯ ทำให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายพืชผักในทุกๆ วันหรืออย่างน้อยทุกสัปดาห์ และยังสามารถกระจายผลผลิตไปยังโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ได้
อีกหนึ่งกรณีตัวอย่างที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปสนับสนุนอาหารกลางวันให้แก่เด็กนักเรียนในพื้นที่ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลกำแพง จังหวัดสตูล ได้จัดให้มี ‘โครงการอาหารกลางวัน 20 บาท’ ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านท่าแลหลา โดยมีจุดเริ่มต้นจากงบประมาณค่าอาหารกลางวันเด็กของรัฐบาล 20 บาทต่อหัว
ด้วยข้อจำกัดของงบ 20 บาท ทำให้ อบต.กำแพง หันกลับมาสำรวจแหล่งอาหารที่มีอยู่ในพื้นที่ และประสานไปยังหมู่บ้านชุมชนที่เป็นผู้ผลิตอาหารทะเลและพืชผลทางการเกษตรให้ส่งผลผลิตมายังศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ เพื่อให้เด็กได้กินอาหารที่มีคุณภาพ สดใหม่ ถูกสุขอนามัย รวมทั้งยังเป็นการช่วยสนับสนุนสินค้าในชุมชนอีกทางหนึ่ง
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 โครงการนี้ก็ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยให้ชุมชนผลิตอาหารแล้วให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน หรือบางกรณีถ้าไม่สะดวกมารับก็มีบริการจัดส่งถึงบ้าน
การทำงานโดยใช้กลไกของชุมชนท้องถิ่นได้พิสูจน์ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาปากท้องและความยากจนสามารถเริ่มต้นได้จากระดับพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อไม่ให้ความจนและความหิวเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของเด็ก