ประสบการณ์ในการยกระดับการช่วยเหลือดูแลเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาในหลากหลายประเทศล้วนให้แง่คิดที่น่าสนใจ และอาจเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทยที่จะพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ ในการสนับสนุนเด็กๆ เหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือกลไกทางกฎหมาย
ในการเสวนาเรื่อง ‘นโยบายและกฎหมายเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของเด็กและเยาวชน’ ศาสตราจารย์โยชิยูกิ นากาตะ (Yoshiyuki Nagata) จากคณะศึกษาศาสตร์ Sacred Heart University ประเทศญี่ปุ่น และรองผู้อำนวยการของ Sacred Heart Institute for Sustainable Futures (SHISF) ได้ร่วมอภิปรายในประเด็นความท้าทายของการร่างกฎหมายและการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อยกระดับและสนับสนุนเด็กที่มีโอกาสหลุดออกจากระบบการศึกษาในญี่ปุ่น
จากเด็กยากจนสู่โรงเรียนทางเลือก
ศาสตราจารย์นากาตะ กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์พัฒนาการของระบบการศึกษาญี่ปุ่นจะพบว่า การสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาจะมุ่งไปที่กลุ่มแรกคือ เด็กที่มีความเสียเปรียบในด้านต่างๆ ทั้งเด็กกำพร้า เด็กพิการ และเด็กยากจน ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรงในสังคมญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และอีกกลุ่มหนึ่งที่จำเป็นต้องให้การศึกษาเป็นพิเศษคือ เด็กในแต่ละกลุ่มศาสนา ความเชื่อ คตินิยม ซึ่งเด็กเหล่านี้มักอยู่ในโรงเรียนทางเลือกที่ไม่มีหลักสูตรตายตัว
ศาสตราจารย์นากาตะ แบ่งช่วงเวลาของพัฒนาการทางการศึกษาของญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกเป็น 3 ช่วงเวลา ดังนี้ 1) หลังทศวรรษที่ 50 ซึ่งประเทศกำลังเผชิญปัญหาความยากจนและการใช้แรงงานเด็ก 2) หลังทศวรรษที่ 70 เป็นช่วงที่เริ่มปรากฏปัญหาเด็กกลัวการไปโรงเรียนและปฏิเสธการไปโรงเรียน และ 3) หลังทศวรรษที่ 90 เริ่มเห็นโรงเรียนทางเลือกเกิดขึ้นจำนวนมาก
ในแง่สถิติของเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาของญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีการเปลี่ยนตามบริบทของประเทศ โดยมีอัตราที่เด็กหลุดจากระบบ ได้แก่ ชั้นประถมศึกษามีเด็ก 5-10 คน ต่อ 1,000 คน หลุดจากระบบ และในระดับชั้นมัธยมต้นอยู่ที่ 35 คน ต่อ 1,000 คน
จนถึงปี 2013 สัดส่วนของเด็กที่หลุดออกนอกระบบอยู่ที่ 1 คน จาก 276 คน โดยในระดับชั้นประถมศึกษาอยู่ที่ 1 คน จาก 37 คน และในปี 2018 มีเด็กชั้นประถมศึกษาหลุดจากระบบ 1 คน จาก 144 คน ส่วนชั้นมัธยมศึกษาหลุดจากระบบ 1 คน จาก 27 คน
ข้อมูลข้างต้นแสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นของเด็กที่หลุดจากระบบในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือจะเห็นถึงความแตกต่างในแต่ละระดับการศึกษา เพราะเมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ในปีสุดท้ายของชั้นประถมศึกษาต่อชั้นมัธยมต้น ปรากฏช่องว่างที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบค่อนข้างชัดเจน
ศาสตราจารย์นากาตะ มองว่า จากสถิติหลังทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เหตุผลสำคัญที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบคือ การเกิดขึ้นของโรงเรียนทางเลือกจำนวนมาก ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงเรียน Steiner และโรงเรียน Sudbury Valley โดยหนึ่งในโรงเรียนที่ศาสตราจารย์นากาตะร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วยคือ โรงเรียนทางเลือกที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ แต่บริหารจัดการโดยเอกชนในรูปแบบองค์กรไม่แสวงหากำไร
ธรรมชาติของในโรงเรียนเหล่านี้ คือ เด็กๆ สามารถเรียนรู้ตามวิธีการของตนเอง และเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจร่วมกับเพื่อนๆ ประเด็นที่น่าสนใจตามมาคือ โรงเรียนเหล่านี้ต้องการให้มีการรับรองอย่างถูกกฎหมายหรือไม่
งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องการได้รับการรับรองตามกฎหมายด้วยเหตุผลที่หลากหลายต่างกันไป แต่เหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ โรงเรียนเหล่านั้นไม่ต้องการใช้หลักสูตรของระบบการศึกษาหลัก และอยู่ภายใต้กฎระเบียบของส่วนกลาง ขณะที่โรงเรียนทางเลือกอีก 40 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่า ต้องการได้รับการรับรอง แต่ต้องไม่บังคับใช้กฎหมายด้านการศึกษา และอีก 30 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีความเห็น
จากข้อค้นพบดังกล่าวจึงนำมาสู่กระบวนการตรากฎหมายโดยรัฐสภา ในปี 2016 ชื่อว่า ‘กฎหมายคุ้มครองการให้โอกาสด้านการศึกษาสำหรับทุกคน’ (Law of Guaranteeing Educational Opportunities for All: LGEO) กฎหมายฉบับนี้ต่อยอดมาจากกฎบัตรสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กทุกคน
กฎหมายฉบับนี้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนเด็กที่เสี่ยงหลุดจากระบบไปจนถึงเด็กที่ต้องเรียนภาคค่ำ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินอย่างเหมาะสม ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องจัดสรรงบประมาณเป็นจำนวน 1.98 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับสนับสนุนเด็กที่หลุดจากระบบ
ขั้นตอนสำคัญของกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่การระบุกลุ่มประชากรทางการศึกษาที่จะได้รับประโยชน์ โดยจากการค้นคว้าและพิจารณาของศาสตราจารย์นากาตะพบว่า นอกจากเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาและเด็กที่ต้องเรียนภาคค่ำแล้ว งบประมาณส่วนนี้ยังควรใช้ในการสนับสนุนเด็กที่เดินทางมาจากประเทศอื่นเพื่อมาทำงานในประเทศญี่ปุ่น และไม่มีความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย
ในส่วนนี้เองที่ศาสตราจารย์นากาตะมองว่า มีความท้าทายอยู่ 3 ประการด้วยกัน ในการบูรณาการความเสมอภาคทางการศึกษาให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ได้แก่ หนึ่ง-ความร่วมมือกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ สอง-การสนับสนุนทางกฎหมายอาจเกิดการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติ และสาม-โรงเรียนทางเลือกอาจสูญเสียอัตลักษณ์ของตนเองไป จากการถูกนับรวมเข้าไปอยู่ในมาตรฐานกฎหมายเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วหลักการสำคัญที่นับว่าแข็งแรงพอที่จะรับมือความท้าทายในการหลอมรวมความเสมอภาคทางการศึกษาเข้ากับกระบวนการทางกฎหมายของญี่ปุ่น นั่นคือ การส่งเสียงสะท้อนของคนกลุ่มน้อย การสร้างวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดการรับฟังกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ และสุดท้ายคือการสร้างระบบการตรวจสอบที่มีความหลากหลาย
บทเรียนจากการตรากฎหมายของญี่ปุ่น อาจเป็นประสบการณ์ให้แก่ประเทศอื่นๆ ที่กำลังมุ่งสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา สามารถมองเห็นทั้งข้อจำกัดและโอกาสในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา
How to Integrate Equity into Education Laws and Policies for Different Target Groups