สภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองของประเทศไทยในปัจจุบัน ส่งผลให้จำนวนบัณฑิตจบใหม่สวนทางกับความต้องการในตลาดแรงงาน การแข่งขันเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ในที่ทำงานเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกันกับจำนวนผู้ว่างงาน และนั่นเป็นปัญหาอย่างยิ่งกับกลุ่ม First Jobber ที่ต้องควานหางานด้วยประสบการณ์เพียงไม่มาก
เมื่อความต้องการแรงงานของผู้ประกอบการเหลือพื้นที่น้อยลง การคัดเลือกแรงงานจึงเน้นปัจจัยด้านคุณภาพมากขึ้น วิธีสร้างโอกาสของแรงงานเพื่อให้ตนเองกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจท่ามกลางคู่แข่งจำนวนมากคือ ทักษะการทำงาน (Hard Skills) และทักษะประกอบการทำงาน (Soft Skills) ที่มีติดตัว นั่นคือที่มาของหลักสูตรส่งเสริมอาชีพของโรงเรียนวิชูทิศ โรงเรียนสามัญศึกษาในสังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร ที่เปิดสอนให้นักเรียนระดับชั้นมัธยมได้ทดลองทำงานจริงภายใต้ความดูแลของโรงเรียน เพื่อติดตั้งทักษะอันจำเป็นในการเข้าสู่ตลาดแรงงาน
นำร่อง: หลักสูตรสายอาชีพในโรงเรียนสามัญศึกษา
โรงเรียนวิชูทิศได้เปิดสอนหลักสูตรขยายโอกาสด้านอาชีพให้กับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนเมื่อถึง พ.ศ. 2544 ได้เริ่มสอนวิชาขนมอบเป็นครั้งแรกภายใต้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โดยเป็นวิชาเสรีบังคับเลือกและเปิดเป็นชมรมให้กับนักเรียนที่สนใจ
จุดเริ่มต้นของวิชาส่งเสริมอาชีพในรั้วโรงเรียนสามัญนี้เกิดขึ้นจากความต้องการผลักดันให้นักเรียนมีทักษะที่สามารถประกอบอาชีพได้จริง โดย สุพัตรา ฤกษ์บ่าย ผู้อำนวยการโรงเรียนวิชูทิศ อธิบายถึงที่มาของวิชาขนมอบว่าเป็นวิชาชีพที่สอดคล้องต่อความต้องการของชุมชน กล่าวคือ วิถีชีวิตของประชาชนในละแวกโรงเรียนวิชูทิศล้วนมีความเร่งรีบ เนื่องจากต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานเลี้ยงชีพ ดังนั้น การส่งเสริมทักษะอาชีพเกี่ยวกับการผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคของคนในชุมชนจึงเป็นทางเลือกที่ตัวนักเรียนและผู้ปกครองเห็นพ้องต้องกัน
หลังจากนั้นจึงนำไปสู่การพัฒนาจนกลายเป็นหลักสูตรขนมอบ (Special program in Bakery) ที่ได้การรับรองโดยสำนักการศึกษา กทม. และทำให้ได้รับเลือกเป็นโรงเรียนนำร่องในโครงการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรเฉพาะทางในปี พ.ศ. 2548 และยังคงเปิดสอนมาจนถึงปัจจุบัน
ความสำเร็จของหลักสูตรขนมอบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจากการตอบรับเป็นอย่างดีของตัวผู้เรียนและผู้ปกครอง หากแต่กระแสตอบรับและความต้องการเพื่อการบริโภคภายในชุมชนก็เพิ่มสูงตาม ซึ่ง ผอ.สุพัตรา กล่าวว่าทักษะทางอาชีพมีความสำคัญไม่แพ้ทักษะในด้านวิชาการ และสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดแรงงานในปัจจุบัน การผลักดันให้เด็กนักเรียนเกิดทักษะดังกล่าวจึงเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตรการขยายโอกาสทางการศึกษา และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้โรงเรียนวิชูทิศเลือกส่งเสริมทักษะด้านอาชีพไปพร้อมๆ กับทักษะด้านวิชาการ
“หลักสูตรส่งเสริมทักษะอาชีพจะช่วยให้นักเรียนจะสามารถประเมินตัวเองได้ว่ามีความต้องการด้านไหน หรือชอบอะไร เขาก็พัฒนาตัวเองให้ตรงกับความต้องการของเขาได้ โดยอาศัยความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากโรงเรียน”
เนื่องจากโรงเรียนวิชูทิศเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จึงเป็นศูนย์รองรับการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนในละแวกใกล้เคียง การต่อยอดการศึกษาไปสู่อาชีพจึงเป็นความคาดหวังที่สำคัญสำหรับผู้ปกครองเช่นกัน โดย ผอ.สุพัตรา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากหลักสูตรขนมอบแล้วยังมีหลักสูตรส่งเสริมด้านกีฬาให้กับนักเรียนที่มีความสนใจ ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปสู่การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา หรือการเลือกประกอบอาชีพในอนาคตได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ผอ.โรงเรียนวิชูทิศ มองว่าหลักสูตรด้านอาชีพที่เปิดสอนอยู่ขณะนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของทักษะอันเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานเท่านั้น ยังมีทักษะอีกหลายแขนงที่นักเรียนมีความสนใจ แต่ยังต้องรอการหารือในด้านข้อกำจัดของโรงเรียน
สำหรับหลักสูตรขนมอบ ปัจจุบันได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักการศึกษาเมื่อ พ.ศ. 2551 นำมาพัฒนาหลักสูตรให้สามารถจัดการเรียนการสอนแบบครบวงจร ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการบัญชีและการจัดจำหน่าย เมื่อจบหลักสูตรแล้วจะได้รับวุฒิบัตรการศึกษาเฉพาะทาง หลักสูตรขนมอบ (Certificate of special program in Bakery) ในโรงเรียนมีศูนย์การเรียนรู้ทักษะอาชีพเพื่อให้นักเรียนสามารถผลิตและจัดจำหน่ายได้จริง และเปิดสอนการทำกาแฟและศูนย์ฝึกทักษะชงกาแฟ (ร้านหอมละมุน) โดยการเรียนการสอนทั้งหมดยังคงดำเนินควบคู่ไปกับรายวิชาหลักตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
นำทาง: ค้นหาอาชีพที่ใช่ ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
ความโดดเด่นของหลักสูตรพัฒนาอาชีพในโรงเรียนวิชูทิศ คือการให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบกระบวนการ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความชำนาญ ซึ่งแตกต่างจากการเรียนผ่านตัวหนังสือหรือการทดลองทำเพียงครั้งคราว
โสภี บรรยงกะเสนา หรือ ครูโสภี ครูผู้สอนรายวิชาเพิ่มเติมขนมอบ โรงเรียนวิชูทิศ ผู้เป็นทั้งอาจารย์ แม่งาน และพี่เลี้ยงของนักเรียนในหลักสูตรขนมอบมากว่า 26 ปี ให้ความสำคัญกับการลงมือทำจริง อันเป็นการเรียนรู้ผ่านความเข้าใจที่ไม่ใช่การท่องจำ เนื่องจากทักษะการทำขนมและชงเครื่องดื่มไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยการผสมตามสูตรเพียงอย่างเดียว
“ทักษะสำคัญอย่างการชั่งตวงต้องทำให้ได้แบบเป๊ะๆ เพราะถ้าทำไม่แม่น สูตรก็จะเพี้ยน เด็กที่เริ่มเรียนใหม่ๆ ทำคุกกี้สูตรเดียวกัน แต่ก็ออกมาไม่เหมือนกัน บางอันก็อร่อย บางอันก็แข็ง บางอันเค็ม บางอันหวาน เพราะฉะนั้นการได้ลองทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้รู้เทคนิคในการทำ ทั้งการใช้ระยะเวลาและการเก็บรายละเอียด”
ครูโสภีอธิบายว่า การจัดการเรียนการสอนวิชาขนมอบของแต่ละระดับชั้นต้องคำนึงถึงความสอดคล้องด้านการพัฒนาทักษะ โดยนักเรียนชั้นมัธยมต้นจะได้ฝึกทำคุกกี้ เค้ก ขนมปัง และพาย เพราะวิธีการทำขนมดังกล่าวเป็นกรรมวิธีขั้นพื้นฐานที่สามารถนำไปปรับใช้กับการทำขนมชนิดอื่นๆ ที่มีกระบวนการยากและซับซ้อนขึ้นในชั้นมัธยมปลาย โดยทั้งครูโสภีและนักเรียนจะศึกษากรรมวิธีและคิดสูตรร่วมกันก่อนจะลงมือปฏิบัติจริง
เมื่อกระบวนผลิตเสร็จสิ้น ผลงานบางชิ้นอาจตกถึงท้องของเหล่าแม่ครัวพ่อครัว ขณะที่บางชิ้นได้รับเชิญให้ไปอยู่บนชั้นวางจำหน่ายภายในโรงเรียน ซึ่งรายได้จากการขายจะถูกนำมาหมุนเวียนเป็นต้นทุนการผลิตให้นักเรียนได้บริหารจัดสรรเพื่อใช้สำหรับวันต่อไป ในส่วนนี้ครูโสภีจะเป็นผู้ที่คอยดูแลควบคุมการผลิตจนกว่าเด็กๆ ในความดูแลจะถูกประเมินให้ผ่าน แล้วจึงจะสามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้ด้วยตนเอง
นอกเหนือจากการทำขนมอยู่ในครัว หลักสูตรขนมอบยังมีวิชาการทำเครื่องดื่มซึ่งจะถูกฝึกฝนในคาบเรียนเพื่อไปนำผลิตขายจริงที่หน้าร้านร้านหอมละมุนซึ่งเป็นศูนย์ฝึกทักษะชงกาแฟ โดยนักเรียนจะได้รับการประเมินศักยภาพตามความจริงก่อนเริ่มงาน ครูโสภีอธิบายว่าการฝึกทักษะและจัดจำหน่ายนี้ จะช่วยให้นักเรียนเกิดความชำนาญทั้งในด้านทักษะการผลิต การจำหน่าย รวมไปถึงการสื่อสารกับลูกค้าและความรับผิดชอบในการทำงาน
เช่นเดียวกันกับ ศิริพร อสิพงษ์ รองผู้อำนวยการโรงเรียนวิชูทิศ ที่มองว่าการได้เรียนรู้พัฒนาทักษะด้านอาชีพจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำไปต่อยอดด้านการทำงานได้ในอนาคต โดยรอง ผอ.ศิริพร ได้ให้ข้อมูลว่านักเรียนส่วนใหญ่ในโรงเรียนวิชูทิศเป็นเด็กที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด แต่ต้องมาเรียนใน กทม. เนื่องจากติดตามมากับผู้ปกครองซึ่งย้ายถิ่นฐานมาทำงานในเมืองหลวง ทำให้สภาพทางการเงินของเด็กแต่ละคนอยู่ในระดับปานกลางไปจนถึงยากจน การติดตั้งทักษะอันเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพในอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ศิริพรเล่าว่า มีเด็กหลายคนที่ด้อยโอกาสด้านการศึกษาในระดับสูง หรืออาจไม่ได้รับการส่งเสริมในด้านวิชาการอย่างเต็มที่เนื่องจากมีศักยภาพที่น้อยกว่าคนอื่น แต่ทักษะที่โรงเรียนมอบให้ทั้ง Hard Skills และ Soft Skills ภายใต้หลักสูตรด้านอาชีพนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปต่อยอดให้กับการทำงานได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนเรียนจบแล้วจะต้องไปทำขนมขาย เพราะเด็กที่เขาไม่ได้ถนัดทางนี้เขาก็ได้เรียนรู้ Soft Skills เรื่องความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา ความมุ่งมั่นในการทำงาน และทักษะการสื่อสาร ถ้าเขาสามารถเอาทักษะเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของหลักสูตร”
นำไปใช้: ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ ก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต
ตัววัดผลแห่งความสำเร็จของหลักสูตรขนมอบ ไม่ใช่แค่ขนมที่มีรสชาติอร่อยหรือเครื่องดื่มชั้นเลิศ แต่คือการปั้นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมและเครื่องดื่มให้เก่งกาจและเป็นที่ต้องการของผู้ประกอบการ
หัทยา เพชรกาศ และ ณีรนุช เพชรเทียม 2 สาวเบเกอร์ชั้น ม.ปลาย ปีสุดท้าย กับอีกหนุ่มบาริสต้า สุรชาติ นาราษฎร์ นักเรียน ม.ปลาย ปีแรก คือกลุ่มนักเรียนในชมรมขนมอบที่ได้รับการการันตีฝีมือโดยผู้สอนว่าสามารถรังสรรค์ผลงานอาหารได้เป็นอย่างดี โดยเด็กๆ ทั้งสามคนได้เข้าเรียนหลักสูตรขนมอบทั้งสาขาการทำขนมและเครื่องดื่ม จนสามารถค้นหาความถนัดของตัวเองได้และทำมันออกมาด้วยความชอบและเต็มใจ
หัทยาเล่าว่า ตนรับหน้าที่ทำเค้กในช่วงเช้าก่อนเข้าแถว ส่วนณีรนุชอยู่ฝ่ายขนมปัง กระบวนการในห้องอบขนมจะมีการแบ่งเวรประจำวันเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ทำขนมส่งขาย โดยปกติจะทำขายในโรงเรียนและวางขายที่ศูนย์ฝึกทักษะชงกาแฟ แต่หากช่วงไหนได้รับออเดอร์ใหญ่จากลูกค้าภายนอกก็อาจต้องแบ่งเวลาช่วงเที่ยงและเย็นมาทำด้วย
“ได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จนตอนนี้ก็สามารถนำทักษะการทำขนมมาเป็นอาชีพเสริมได้”
หัทยาระบุว่า การทำขนมในโรงเรียนจะได้รับค่าจ้างรายวันจากคุณครู อย่างตนที่รับหน้าที่ทำเค้กเพียงคนเดียวจะได้วันละ 100 บาท ส่วนการทำขนมปังที่ใช้จำนวนคนมากกว่าจะได้ค่าจ้างวันละ 60 บาท ซึ่งเป็นรายรับที่ทั้งหัทยาและณีรนุชพึงพอใจ
ในส่วนของการทำเครื่องดื่ม สุรชาติซึ่งเป็นเด็กหนุ่ม ม.4 บอกเล่าผ่านสีหน้าที่ซื่อตรงว่า ตนเองชอบและสนใจการชงกาแฟเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกดีใจที่โรงเรียนเพิ่มวิชาการทำเครื่องดื่มเข้ามา โดยหน้าที่บาริสต้าเองก็จะมีการแบ่งเวรประจำวันเพื่อไปประจำการขายเครื่องดื่มที่ร้านหอมละมุน ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกทักษะชงกาแฟที่อยู่ภายในโรงเรียน และได้รับค่าจ้างวันละ 80 บาท
เด็ก ม.ปลาย ทั้งสามคนเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ซึ่งทั้งสามบอกตรงกันว่า ในหนึ่งวันต้องใช้เวลากับการเรียนมากพอสมควร การทำขนมและเครื่องดื่มจึงกลายเป็นงานอดิเรกที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนวิชาหลัก
ณีรนุชเล่าว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ตนเองต้องเรียนออนไลน์ตั้งแต่ ม.4 เป็นเวลากว่า 2 ปี จนเมื่อได้เรียนในโรงเรียนอีกครั้งก็ขึ้นชั้น ม.6 แล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่ตนเองก็ยังรู้สึกไม่พร้อมกับการศึกษาต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย เช่นเดียวกันกับหัทยาที่ยังคงไม่มั่นใจกับการเลือกคณะที่อยากเรียน แต่ทั้งสองมีความเห็นตรงกันว่า ทักษะการทำขนมที่มีติดตัวช่วยให้รู้สึกอุ่นใจในเรื่องลู่ทางการประกอบอาชีพและการหารายได้
ขณะเดียวกัน สุรชาติซึ่งยังอยู่ในช่วงค้นหาความชอบและความสนใจก็มุ่งมั่นที่จะพัฒนาฝีมือการชงกาแฟของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เด็กหนุ่มบอกเล่าความฝันว่า อยากลองคิดค้นสูตรเมนูใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน และหากความสามารถตรงนี้สามารถต่อยอดได้ก็อาจนำไปพิจารณาในการศึกษาต่อ รวมถึงประกอบอาชีพในอนาคต