การพัฒนาขีดความสามารถของครู แยกไม่ออกจากการพัฒนาคุณภาพครู อีกทั้งการส่งมอบบริการทางการศึกษาที่ดีนั้นล้วนส่งผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนให้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเด็กในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดารที่มักเสียโอกาสในการเรียนรู้ เพราะขาดแคลนครูที่มีศักยภาพและทักษะในการจัดการสอนที่ดี
วิคทอเรีย ทินิโอ (Victoria Tinio) กรรมการของ Foundation for Information Technology Education and Development (FIT-ED) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานด้านการศึกษาในฟิลิปปินส์มายาวนาน ซึ่งในประเทศฟิลิปปินส์ประสบภาวะขาดแคลนครู จนเป็นอุปสรรคสำคัญในการไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
พัฒนาครูด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล
วิคทอเรีย ทินิโอ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงโครงการความร่วมมือ ‘The TPD@Scale Coalition for the Global South’ ซึ่งเน้นไปที่การพัฒนาวิชาชีพครู โครงการนี้เต็มไปด้วยผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษาและเทคโนโลยีจากทั่วโลก โดยดูแลการพัฒนาอาชีพต่างๆ สู่การพัฒนาเพื่อความยั่งยืน โครงการนี้มีสมาชิกทั้งหมด 21 หน่วยงาน ประกอบไปด้วย มหาวิทยาลัยนานาชาติ องค์กรไม่แสวงผลกำไร และสถาบันวิจัยต่างๆ
คณะทำงานในโครงการนี้เชี่ยวชาญด้านการสรุป การวิเคราะห์ และเรียบเรียงผลงานการวิจัย โดยเน้นเนื้อหาการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำและการสร้างแบบจำลอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการออกแบบเครื่องมือเพื่อพัฒนาศักยภาพของครู
วิคทอเรีย ทินิโอ เล่าว่า “การมีประสิทธิภาพในระดับที่เพียงพอนั้น มีความหมายครอบคลุมไปถึงกระบวนการที่ดำเนินการในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง จนเห็นผลที่ตามมาได้มากพอ ฉะนั้นการปรับปรุงประสิทธิภาพของครู จึงหมายความถึงทั้งการปรับให้กว้างขึ้นและการปรับให้ลึกขึ้น เพื่อให้สามารถรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงได้ในระยะยาว และนำมาซึ่งการพัฒนาระบบการศึกษาได้”
วิคทอเรีย ทินิโอ ย้อนถึงที่มาที่ไปของการนำเครื่องมือมาใช้เพื่อยกระดับครู โดยสถาบัน Bookings ได้จัดตั้งโครงการที่ชื่อว่า ‘The Millions Learning’ วางกรอบการทำงานผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘At Scale’ (@scale) หรือระบบการวัด โดยให้คำนิยามที่แตกต่างกัน 4 แนวทาง ได้แก่ การวัดระดับศักยภาพทั้งแนวราบ แนวดิ่ง ด้านองค์กร และด้านการทำงาน
การพัฒนาศักยภาพในแนวราบ หมายความว่า ต้องเข้าถึงคนและสถานที่ได้มากขึ้น ส่วนการพัฒนาศักยภาพในแนวดิ่ง หมายถึง การรับเอานโยบายที่เหมาะสมไปใช้ ความสามารถในการสร้างความเข้มแข็งให้องค์กร และการทำกิจกรรมต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น
วิธีการเรียนรู้ที่โครงการนี้นำมาใช้คือ MOOCs หรือ Massive Open Online Course โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสื่อกลางที่สามารถรองรับผู้เรียนได้เป็นจำนวนมาก ทำให้คนที่มาจากหลากหลายพื้นที่สามารถมองเห็นกันและกันได้ นอกจากนั้นยังมีระบบการสอนอันชาญฉลาดที่มาจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่น Open Course Ware เป็นต้น
โจทย์ท้าทายของประเทศกำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตาม รูปแบบของ @scale มักถูกนำไปใช้ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว จึงมีคำถามตามมาว่าหากนำไปใช้ในประเทศกำลังพัฒนาจะมีประโยชน์อย่างไร
วิคทอเรีย ทินิโอ อธิบายว่า “สิ่งที่เรามุ่งมั่นในการทำโครงการนี้คือ การพัฒนาวิชาชีพครูที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ มีการยกระดับครูเพื่อให้เกิดความเสมอภาค ฉะนั้นงานที่ FIT-ED ร่วมมือกับรัฐบาลจนออกมาเป็นงานวิจัย จึงเน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง 3 สิ่ง คือ คุณภาพ เสมอภาค และประสิทธิภาพ โดยมีรัฐบาลถึง 7 ประเทศที่ทำงานด้วยกัน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ปากีสถาน เลบานอน กานา ฮอนดูรัส เอกวาดอร์”
ที่ฟิลิปปินส์ องค์กรของ วิคทอเรีย ทินิโอ ได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานทางการศึกษาระดับประเทศ รวมถึงกระทรวงศึกษาธิการจากนานาชาติ ภายใต้หลักสูตรที่ชื่อว่า ‘การเรียน อ่าน-เขียนด้านภาษาและการคำนวณบนแฟลตฟอร์มดิจิตอล’ (ELLN)
“เราใช้หลักสูตรนี้ในการพัฒนาวิชาชีพครู โดยมีครูเข้าร่วม 80,000 คน และโรงเรียนสังกัดรัฐบาลอีก 48,000 แห่ง”
ในปี 2015 กรมการศึกษาของฟิลิปปินส์ ได้ขอให้มีการพัฒนาวิชาชีพครูที่ต่างจากหลักสูตรเดิม โดยจะต้องมีความยืดหยุ่น ปรับระดับความต้องการได้ ราคาไม่แพง และยั่งยืน จากนั้นในปี 2016-2017 กรมการศึกษาจึงเข้าร่วมเวิร์คช็อปในหลักสูตร ELLN และมีการนำเสนอแผนนำร่องเข้าสู่รัฐบาล ซึ่งองค์กรได้ประเมินผลการดำเนินการในระดับที่ดีมาก
ในปี 2018 กรมการศึกษาและ FIT-ED ได้ยกระดับการพัฒนาวิชาชีพของประเทศ โดยใช้ E-Learning และดิจิตอลแพลตฟอร์ม เพื่อหลอมรวมครู 240,000 คน ในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าด้วยกัน โดยมีค่าใช้จ่ายลดลง ยืดหยุ่นมากขึ้น และใช้เวลาให้น้อยที่สุด
แผนแม่บทที่ใช้ในการพัฒนาศักยภาพครู ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ หนึ่ง-การศึกษาด้วยตนเองของครู โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มีเดีย ซึ่งถูกออกแบบให้ง่ายต่อการฝึกหัด สอง-การเรียนรู้ผ่านโรงเรียน ผ่านการปฏิบัติ และมีการประมวลผลที่ได้หลังการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น ครูจะต้องเลือกบทเรียน 1 บท เพื่อไปเรียนด้วยตนเอง และจะมีกิจกรรมที่ครูไปทำในห้องเรียน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ เรียนรู้ ไตร่ตรอง พูดคุย แบ่งปันประสบการณ์และแนวทางการศึกษาร่วมกับครูอื่นๆ หลังจากนั้นจึงเข้าสู่บทเรียนใหม่
สำหรับผลการประเมินเป็นรายบุคคลพบผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ แม้จะมีจำนวนที่ไม่มาก แต่มีนัยยะสำคัญ วัดผลโดยแบบทดสอบความรู้ด้านเนื้อหา ผสานวิธีการสอน และผลสำรวจ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าครูในพื้นที่ชนบทสามารถทำได้ดีกว่าครูในเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ และมีความพึงพอใจในหลักสูตรอย่างมาก
บทเรียนจากฟิลิปปินส์ชี้ให้เห็นว่า การจะบรรลุเป้าหมายในการจัดการศึกษาเพื่อความเสมอภาคได้นั้น ต้องทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาในคุณภาพที่สูงและราคาที่ไม่แพง โดยการพัฒนาศักยภาพครู คือหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาที่มีคุณภาพและนำไปสู่ความเสมอภาคได้
ที่มา
Teacher Training and Supporting Mechanism that Create Impacts to Equity in Education