“การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดทางสังคมที่จะบ่งบอกได้ว่าประชาชนในประเทศนั้นๆ มีสุขภาวะที่ดีหรือไม่ ซึ่งการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมกันและไม่แบ่งแยกเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดความเหลื่อมล้ำ ไม่เพียงแค่เด็กธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่รวมถึงเด็กพิการด้วย เพราะทุกครั้งที่มีการพูดถึงประเด็นนี้ กลุ่มเด็กพิการมักจะถูกมองข้ามเสมอ”
หนึ่งในหน้างานสำคัญของ รอนดา แกลบัลลี (Rhonda Galbally) คณะกรรมาธิการความรุนแรงการละเมิดการทอดทิ้งและการเอารัดเอาเปรียบคนพิการ (Royal Commission into Violence, Abuse, Neglect and Exploitation of People with Disability, Australia) คือประเด็นการศึกษา ซึ่งเป็นกุญแจดอกแรกในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่มีความพิการ เพราะหากการศึกษาทอดทิ้งพวกเขาเหล่านั้น นั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสที่ไม่อาจประเมินค่า โอกาสในการมีชีวิตวัยผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ โอกาสในการเป็นพลเมืองที่มีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน
“ที่ผ่านมาเราได้จัดเวทีประชาพิจารณ์ระบบการศึกษา พบว่าเด็กพิการเป็นกลุ่มที่จะถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน และเป็นเหยื่อของความรุนแรงในอัตราที่สูงกว่าเด็กธรรมดา และเด็กกลุ่มนี้ก็จะถูกกีดกันออกจากการศึกษาในระบบปกติ
“การละเลยทางการศึกษาสำหรับเด็กพิการจึงเป็นปัญหาใหญ่ เราจึงผลักดันจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายด้านการศึกษาเกี่ยวกับเด็กพิการในประเทศของเรา”
จากการสำรวจข้อมูลพบว่า เด็กและเยาวชนที่มีความพิการมักถูกจับแยกจากกลุ่มเด็กปกติ พวกเขามักไม่ได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการศึกษา ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่ โดยคณะกรรมาธิการด้านความรุนแรง การละเมิด การทอดทิ้ง และการเอารัดเอาเปรียบคนพิการ ประเทศออสเตรเลีย ได้ตั้งคำถามถึงปัญหาดังกล่าวว่า “สิ่งใดที่ก่อให้เกิดความไม่ยุติธรรมต่อการศึกษาของเด็กพิการ?”
คำตอบที่แกลบัลลี หนึ่งในคณะกรรมาธิการฯ ค้นพบ คือนโยบายของรัฐที่ไม่เอื้อให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา ระบบที่ขาดแคลนทรัพยากรในการแก้ไขปัญหาและขาดการสนับสนุนการฝึกอบรมครูผู้สอน
“ปัจจัยเหล่านี้เกิดจากการที่ผู้ร่างนโยบายคิดว่าเด็กพิการไม่สามารถทำอะไรดีๆ ได้ และมีความคาดหวังต่ำกับเด็กพิการ จึงทำให้ไม่มีที่ที่เหมาะสำหรับเด็กๆ กลุ่มนี้”
หัวใจสำคัญของการทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย เพื่อยุติความเชื่อและทัศนคติผิดๆ เกี่ยวกับคนพิการ แกลบัลลีย้ำว่า จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนอยากเห็นคือ สถานที่ที่เรียกว่า ‘ห้องเรียน’
ห้องเรียนที่ไม่แบ่งแยก
การจัดการศึกษาแบบรวม (inclusive education) หรือการเรียนรวม (inclusion) คือแนวคิดที่ปรากฏขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่โลกกำลังเริ่มพูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม อิทธิพลความเชื่อในเรื่องหลักสิทธิมนุษยชน และสิทธิเด็กว่าด้วยการศึกษาขั้นพื้นฐานบนโอกาสที่เท่าเทียม โดยเฉพาะกลุ่มเด็กด้อยโอกาสที่มักตกหล่นจากระบบการศึกษา ทั้งกรณีที่ไม่ได้รับโอกาส และกรณีที่ไม่อาจอยู่ในระบบจนจบการศึกษา
คาเทีย มาลาเคียส (Catia Malaquias) คือผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาเครือข่ายภาคประชาสังคม องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร All Means All เธอยังเป็นทนาย เป็นครูแม่ของลูกๆ สามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเด็กผู้มีความพิการ และเธอยังเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมทางการศึกษาให้กับกลุ่มเด็กพิการอีกด้วย
“ความเท่าเทียมทางการศึกษาคือ ทุกคนควรมีสิทธิที่จะเข้าถึงการศึกษาอย่างเสมอหน้ากัน ซึ่งในระดับนโยบายจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เด็กๆ กลุ่มนี้มีโอกาสเรียนรู้เท่ากับคนอื่น ดังนั้นการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมจะเกิดขึ้นได้หากเราสร้างการศึกษาที่เท่าเทียมให้กับเด็กๆ ในกลุ่มพิการด้วย”
กระนั้นในประเทศออสเตรเลียเองก็ไม่ต่างกับอีกหลายๆ ประเทศที่รัฐบาลยังไม่สามารถปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบเพื่อรองรับเด็กทุกกลุ่มอย่างจริงจังมาลาเคียสอภิปรายปัญหาการศึกษาในหัวข้อ ‘การศึกษาที่เท่าเทียมกันคืออะไร’ โดยเธอเริ่มต้นจากการยกอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของผู้พิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities: CRPD) มาอธิบาย ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศครั้งแรกที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการมีส่วนร่วมทางการศึกษาอย่างชัดเจน โดยเธอเน้นไปที่มาตรา 24.2 ของอนุสัญญาฉบับนี้ว่า
- คนพิการจะไม่ถูกกีดกันออกจากระบบการศึกษาทั่วไป เพราะเหตุแห่งความพิการ และเด็กพิการจะไม่ถูกกีดกันจากการศึกษาภาคบังคับ ระดับประถมศึกษา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- หรือการศึกษาระดับมัธยมศึกษา เพราะเหตุแห่งความพิการ
- คนพิการสามารถเข้าถึงการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาแบบเรียนร่วมที่มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับบุคคลอื่นในชุมชนที่ตนอาศัยอยู่
- คนพิการได้รับความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผลกับความต้องการของแต่ละบุคคล
- คนพิการได้รับการสนับสนุนตามที่ต้องการในระบบการศึกษาทั่วไป เพื่ออำนวยความสะดวกในการศึกษาอย่างมีประสิทธิผลแก่คนพิการนั้น
- มีการจัดมาตรการสนับสนุนเฉพาะบุคคลที่มีประสิทธิผลแก่คนพิการ ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการและการพัฒนาทางสังคมอย่างสูงสุด สอดคล้องกับเป้าหมายการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเต็มที่
“จะเห็นว่า เป้าหมายของมาตรา 24 ระบุว่า ‘การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างเต็มที่’ นั้น หมายความว่า เด็กพิการทุกคนจะได้เรียนอยู่ในห้องเรียนร่วมกับเด็กปกติ พวกเขาจะไม่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แบ่งแยก ไม่ต้องอยู่ในโรงเรียนพิเศษ และไม่ต้องอยู่ในห้องเรียนแบบพิเศษ”
ห้องเรียนของทุกคน
การศึกษาแบบเรียนรวม คือการรับเด็กเข้ารับการศึกษาโดยไม่แบ่งแยกความบกพร่องของเด็ก หรือคัดแยกเด็กที่ด้อยกว่าออกจากชั้นเรียน แต่จะเป็นการศึกษาที่ใช้การบริหารจัดการและวิธีการในการให้เด็กเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน สิ่งสำคัญคือ โรงเรียน และครูจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด สภาพแวดล้อม หลักสูตร เทคนิคการสอน สื่อการสอน การประเมินผล เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนเรียนรวมกันได้ และได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพของแต่ละบุคคล
“การจะสร้างระบบการศึกษาแบบเรียนรวมได้ จะต้องมีกฎหมายและนโยบายที่มีประสิทธิภาพ และจะต้องปกป้องสิทธิของเด็กทุกคนในการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมและเรียนร่วมกันได้ รวมถึงต้องมีกฎหมายที่ระบุอย่างชัดเจนว่า จะไม่ให้เกิดการกีดกันเด็กๆ กลุ่มพิการ ซึ่งรวมถึงการระบุในข้อกฎหมายอย่างชัดเจนว่า ไม่ให้โรงเรียนปฏิเสธการรับเด็กเข้าศึกษาเพียงเพราะความพิการของเขา และต้องปรับแก้กฎหมายที่ทำให้เกิดการกีดกันเด็ก”
มาลาเคียสบอกเล่าประสบการณ์การทำงานในประเทศออสเตรเลีย ในการผลักดันการสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับเด็กด้อยโอกาส ซึ่งในออสเตรเลียมีกฎหมายที่ชื่อว่า กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ (Anti-discrimination Laws) ทว่าในเชิงปฏิบัติกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
“อันที่จริง การไร้ประสิทธิภาพของกฎหมายทำให้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การแบ่งแยกกีดกันและการเลือกปฏิบัติทางการศึกษาสำหรับเด็กพิการมีอัตราที่เพิ่มขึ้น แม้ออสเตรเลียจะมีการทำอนุสัญญาว่าด้วยคนพิการมากว่า 10 ปีแล้ว แต่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ว่าจะทำให้เกิดการศึกษาแบบเรียนรวมและเท่าเทียมยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักที
“นอกจากนี้การศึกษาประเทศออสเตรเลียที่มี 2 ระบบ คือ ระบบสำหรับนักเรียนธรรมดาและนักเรียนพิการ และทำให้การศึกษาแบบเรียนรวมเกิดขึ้นตามมา อย่างไรก็ดี ระบบการศึกษาสำหรับเด็กพิการไม่ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อเด็กพิการอย่างแท้จริง แต่ตั้งขึ้นเพื่อลดภาระของการศึกษาในระบบปกติ ทำให้ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ สำหรับเด็กพิการ”
การที่เด็กๆ ทุกคนได้เรียนอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน ได้เรียนรู้ ยอมรับ และเคารพซึ่งกันและกัน เข้าใจเงื่อนไขของชีวิตที่แตกต่างกัน และไม่มองว่าความไม่สมบูรณ์ทางกายภาพเป็นสิ่งที่แปลกแยกและแปลกปลอม คือสังคมในแบบที่มาลาเคียส ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสมุ่งหวัง และต้องการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
มาลาเคียสบอกว่า นี่ไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือการทำสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวแล้วจะสำเร็จผล แต่จำเป็นอย่างมากที่ทุกคนในสังคม ผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและกฎหมาย โรงเรียน ครู และตัวของนักเรียนเอง จะต้องตระหนักถึงปัญหา ร่วมกันทลายกำแพงของการไม่รับรู้ เพื่อสร้างความเข้าใจในความหมายของ ‘การศึกษาที่เท่าเทียม’
“การสร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ คือการที่ทำให้นักเรียนทุกคนรู้สึกถึงคุณค่า ให้เสียงของพวกเขาถูกรับฟังโดยไม่ถูกตีกรอบด้วยสถานภาพและความพิการ และพวกเขาต้องรู้สึกปลอดภัยในระบบการศึกษา”
เธอทิ้งท้ายด้วยว่า “เราอยากเห็นการจัดการศึกษาในรูปแบบเรียนรวมที่เท่าเทียมและเด็กๆ ทุกคนเข้าถึงได้ เพราะการที่เด็กๆ ทุกคนได้เรียนด้วยกัน อยู่ในห้องเดียวกัน จะทำให้พวกเขาเกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งเราจะต้องไปช่วยกันผลักดันและแก้ไขระบบการศึกษาในประเทศของเราให้เกิดขึ้นให้ได้”