การพนันในวัยเรียนเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทย และเป็นปัญหาคาราคาซังในสังคมไทยเรื่อยมา
ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2560 พบว่า เยาวชนไทยเล่นพนันมากถึง 3.64 ล้านคน เป็นเพศชายราว 2 ล้านคน เพศหญิง 1.6 ล้านคน ทั้งยังติดหนี้จากการเล่นพนันเกือบ 1 แสนคน โดยเฉลี่ยตกคนละ 3,500 บาท หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 335 ล้านบาท
อีกทั้งงานวิจัย ‘พฤติกรรมการเล่นการพนันของเยาวชนกรณีศึกษา: เขตกรุงเทพมหานคร’ ของ คงกริษ เล็กศรีนาค, ดร.ณรงค์ พลอยดนัย และ ดร.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ ปี 2555 พบว่า อายุโดยเฉลี่ยของเยาวชนที่เริ่มเล่นพนันอยู่ที่ 13 ปี และอายุน้อยที่สุด 11 ปี อีกทั้งพบว่าเมื่อเริ่มเข้าสู่วงการพนันแล้ว เด็กจะมีพฤติกรรมการเล่นอย่างต่อเนื่องจากครั้งแรกที่เริ่มอีกด้วย
เหตุและปัจจัยไม่ได้มีเพียงข้อเดียว
สถาบันสุขภาพจิตเด็กและเยาวชนราชนครินทร์ ชี้ถึงปัจจัยและสาเหตุที่ส่งผลให้เด็กเล่นการพนัน โดยมีสื่อออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ตเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของปัญหา กล่าวคือ สื่อออนไลน์หรืออินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งรวมโฆษณาการพนันและเกมออนไลน์จำนวนมากที่เด็กๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายเพียงการกดคลิกเดียวเท่านั้น
อีกหนึ่งปัจจัยที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและเยาวชนราชนครินทร์ และงานวิจัยข้างต้นเห็นตรงกันก็คือ เพื่อน เนื่องจากเพื่อนเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดและมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเด็ก ทั้งจากการชักชวน แนะนำให้ลองเล่น ประกอบกับพฤติกรรมการอยากรู้อยากลองของวัยรุ่น ทำให้คล้อยตามได้ง่ายจากคำพูดของเพื่อนๆ
นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องเงินหรือความต้องการวัตถุตามสมัยนิยมก็เป็นสิ่งสำคัญ จากการเข้าถึงแหล่งพนันที่ง่าย ทำให้เมื่อเด็กได้ลองเล่นพนันแล้วรู้สึกได้เงินมาอย่างง่ายโดยไม่ต้องลงแรงอะไรมาก
ปัญหาพื้นฐานอย่างครอบครัวก็เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการมีพฤติกรรมการเล่นพนัน การมีสมาชิกในครอบครัวที่เล่นพนัน หรือปัญหาความขัดแย้งภายในครอบครัว ล้วนมีผลทั้งสิ้นต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งหากผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเด็กเล่นพนันก็อาจทำให้เด็กอยากลองเล่นหรือลอกเลียนแบบ หรือแม้การทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัวก็อาจมีผลให้เด็กอยากหนีออกจากบ้านเพื่อหนีปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้น จนทำให้พวกเขาต้องดิ้นรนหาเงินด้วยตัวเอง และการเล่นพนันเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของพวกเขา
เดินออกจากห้องเรียน สู่เส้นทางนอกกฎหมาย
เป็นที่แน่ชัดว่าเมื่อเด็กมีพฤติกรรมติดการพนัน ย่อมไม่อาจเป็นผลดีต่อตัวเด็กอย่างแน่นอน ซึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบมากที่สุดจากพฤติกรรมนี้ก็คือตัวเด็กเอง
จากข้อเสนอในเวทีนโยบายสาธารณะเพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอล ปี 2556 ให้ข้อมูลว่า การเล่นหรือติดพนันของเด็กนั้นส่งผลกระทบต่อร่างกาย เช่น ทำให้ออกกำลังกายไม่เพียงพอ หรือขาดการออกกำลังกาย ตาพร่ามัว และไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อสมองอีกด้วย กล่าวคือ การพนันส่งผลต่อพฤติกรรมและการพัฒนาสมองของเด็ก
องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้พฤติกรรมการติดพนันเป็นปัญหาทางจิต เรียกว่า ‘Pathological Gambing’ หรือโรคติดพนันที่เล่นแล้วจะไม่สามารถหยุดได้
การติดพนันหรือการลุ้นผลพนันบ่อยๆ ส่งผลให้สมองส่วน striatum หลั่งสารโดปามีน (สารควบคุมอารมณ์และความรู้สึก) เพิ่มมากขึ้น โดยการหลั่งสารโดปามีนที่สมองส่วน striatum สัมพันธ์กับการขาดความยับยั้งชั่งใจ และส่งผลให้เด็กหรือวัยรุ่นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดวุฒิภาวะอย่างถาวร
นอกจากนี้การพนันยังส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงอบายมุขอื่นๆ จากงานวิจัยเรื่อง ‘การลดผลกระทบของพนันออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชนไทย’ โดย พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ระบุว่า พนันออนไลน์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เยาวชนผละออกจากห้องเรียน และส่วนหนึ่งไม่มีเงินชำระหนี้พนัน จึงต้องเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผิดกฎหมาย
จากสถิติการจับกุมเด็กและเยาวชนข้อหาเกี่ยวกับการพนัน พบว่า ตั้งแต่ปี 2550-2559 เด็กอายุ 8-15 ปี ถูกจับกุมร้อยละ 0.11 อายุ 16-18 ปี ถูกจับกุมร้อยละ 1.07 และอายุ 19-25 ปี ถูกจับกุมถึงร้อยละ 9.76
รวมถึงข้อมูลของศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปี 2553 ชี้ให้เห็นว่า เด็กที่ติดการพนัน ร้อยละ 61 มีพฤติกรรมปล้นชิงทรัพย์หรือล่อลวงเงินจากคนใกล้ชิด ร้อยละ12 ทำร้ายร่างกายคนใกล้ชิด ร้อยละ 9 ขายทรัพย์สินใช้หนี้พนัน ร้อยละ 7 ขายบริการทางเพศ ร้อยละ 6 พยายามฆ่าตัวตาย และร้อยละ 5 ค้ายาเสพติด
สร้างวาระแห่งชาติ แก้ปัญหาอย่างจริงจัง
พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาการพนันในวัยเรียน ผ่านการป้องกันทางนโยบายสาธารณะไว้ 3 ระยะ จากงานวิจัยเรื่อง ‘การลดผลกระทบของพนันออนไลน์ต่อเด็กและเยาวชนไทย’
ระยะต้น ให้มีการสำรวจปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชนอย่างทั่วถึง พร้อมรณรงค์ให้สังคมตระหนักรู้ถึงปัญหาการพนันของเด็ก และเพิ่ม ‘พื้นที่สีขาว’ ให้เด็กมีกิจกรรมทำเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าถึงการพนัน
ระยะกลาง รัฐต้องตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาพนันในเด็กและเยาวชน โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้พัฒนาแผนระดับชาติในการแก้ปัญหาการพนัน เพราะมองว่าปัญหาการพนันไม่ได้เป็นปัญหาในตัวบุคคล แต่เป็นปัญหาของชุมชนโดยรวม เช่นเดียวกับปัญหาสาธารณสุขอื่นๆ
ระยะยาว รัฐควรจัดตั้งกองทุนเพื่อการแก้ปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชน โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งจากการดำเนินการมาใช้ในการรณรงค์สร้างการตระหนัก การเยียวยา และสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาของการพนัน โดยเสนอให้เป็นหลักสูตรในโรงเรียนอีกด้วย
ทั้งนี้ งานวิจัยยังเสนอแนวทางการป้องกันเชิงนโยบายสังคมด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า มาตรการคุ้มครองเด็กจากการพนันต้องชัดเจน และบัญญัติฐานความผิดเพิ่มเติมต่อผู้ที่นำเด็กเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้เป็นความผิดขั้นรุนแรง เช่น ความผิดเกี่ยวกับการอนุญาตให้เด็กเข้าเล่นการพนัน หรือความผิดจากการโฆษณาพนันทุกประเภท เป็นต้น
นอกจากนี้ อีกทางเลือกที่เสนอคือ การจัดตั้งองค์กรหรือกองทุนเพื่อดูแลความปลอดภัยออนไลน์ก็เป็นสิ่งสำคัญที่รัฐควรมีการจัดสรรงบประมาณให้ หรือจะเป็นการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานโดยยึดตามภารกิจของหน่วยงานนั้นๆ โดยต้องมีวิธีการทำงานที่เกิดประสิทธิภาพ และต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเป็นระบบเพื่อที่จะสามารถดำเนินโครงการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
ทั้งหมดนี้เป็นหนึ่งในการหาทางออก และข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชนเท่านั้น ปัญหานี้ไม่อาจแก้ไขได้หากภาครัฐหรือแม้แต่ทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลเด็กและเยาวชน ไม่ให้ความร่วมมือหรือตระหนักถึงปัญหานี้อย่างจริงจัง ปัญหาพนันในวัยเรียนก็อาจยังคงมีอยู่และรอการแก้ไขต่อไปไม่จบสิ้น
อ้างอิง
- คงกริษ เล็กศรีนาค, ดร.ณรงค์ พลอยดนัย, ดร.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ (2555). พฤติกรรมการเล่นการพนันของเยาวชนกรณีศึกษา: เขตกรุงเทพมหานคร. วารสารวิจัย มข.(บศ.), 12(4), 132-145.
- ข้อเสนอเชิงนโยบาย การป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอล
- การพนันภัยร้ายทำลายสมองของเด็กและเยาวชนอย่างถาวร
- www.tcijthai.com
- new.camri.go.th