แต่ละปีมีเด็กและเยาวชนชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานไปพักอาศัยในแผ่นดินเกาหลีใต้จำนวนสูงถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 50-51 ล้านคนโดยประมาณ และยังมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ระบบการศึกษาของเกาหลีใต้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรองรับผู้ซึ่งมาจากหลากหลายวัฒนธรรมเหล่านี้
ซอ ฮอน จู (Suh Heon-joo) ผู้อำนวยการสถาบันพหุวัฒนธรรมศึกษาแห่งชาติ (The National Institute for Multicultural Education) ได้แสดงทัศนะถึงความจำเป็นในการจัดระบบการศึกษาที่เปิดกว้างสำหรับวัฒนธรรมอันหลากหลายนี้ว่า
“พหุวัฒนธรรมศึกษา นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคถ้วนหน้า การมีระบบการศึกษาที่เป็นพหุวัฒนธรรมจะช่วยให้เด็กนักเรียนที่อพยพเข้ามาสามารถเข้าถึงระบบโรงเรียนของรัฐได้อย่างเท่าเทียม โดยปราศจากอคติหรือการเลือกปฏิบัติ”
สถาบันพหุวัฒนธรรมศึกษาแห่งชาติก่อตั้งขึ้นในปี 2008 มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดพื้นที่ให้พหุวัฒนธรรมศึกษาและสนับสนุนการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนให้การสนับสนุนแก่ศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านพหุวัฒนธรรมศึกษาระดับภูมิภาค (Regional Support Centre for Multicultural Education: RSCMEs) ทั้งในด้านนโยบายและการดำเนินงาน
ศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านพหุวัฒนธรรมศึกษาระดับภูมิภาค เกิดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับหน่วยงานการศึกษาระดับภูมิภาค จนสามารถจัดตั้งได้สำเร็จในปี 2015 โดยเป็นการออกแบบการจัดการศึกษาพหุวัฒนธรรมให้มีประสิทธิผลและเป็นระบบ ยึดเอาชุมชนเป็นฐานในการออกแบบนโยบายและโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและเงื่อนไขทางการศึกษาในแต่ละท้องถิ่น
ในปี 2020 มีการตั้ง RSCMEs ไปแล้วทั้งสิ้น 17 แห่งด้วยกัน โดยมีการดำเนินการทั้งในระดับเมืองใหญ่และต่างจังหวัด
ซอ ฮอน จู ได้กล่าวถึงบทบาทและความรับผิดชอบของ RSCMEs ไว้ 6 ประการด้วยกัน
ประการแรก – “ปลูกฝังและบริหารจัดการผู้ให้ความรู้ในชุมชนในด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา เริ่มตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์ฯ ไปจนถึงดำเนินการสนับสนุนพหุวัฒนธรรมศึกษาในท้องถิ่น ซึ่งจะประกอบด้วยครูที่มีความเชี่ยวชาญในด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา ตลอดจนพัฒนาความรู้พหุวัฒนธรรมแก่ครูและผู้สอนในท้องถิ่น ผ่านโครงการการศึกษาและการฝึกอบรม”
ประการที่สอง – “สนับสนุนให้โรงเรียนต่างๆ รับเด็กและเยาวชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมเข้ารับการศึกษา ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบด้านวิชาการในระดับจังหวัดขึ้น ทั้งในระดับเมืองใหญ่และต่างจังหวัด อีกทั้งยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาต่อ ตลอดจนถึงการแนะนำแนวทางสำหรับเด็ก เยาวชน และผู้ปกครองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม”
ประการที่สาม – จะเป็นการจัดให้มีโปรแกรมการศึกษาภาษาเกาหลี หรือที่เรียกว่า Home-visit Korean Language Programme
“โปรแกรมนี้จะให้ความช่วยเหลือด้านภาษาเกาหลีแก่นักเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งเรียนอยู่ในโรงเรียนที่ไม่มีการสอนภาษาเกาหลี” ซอ ฮอน จู กล่าว
ประการที่สี่ – สนับสนุนการออกแบบและการดำเนินงานแก่โรงเรียนที่มีนโยบายด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา
“โรงเรียนที่มีนโยบายด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา มีเป้าหมายเพื่อที่จะสร้างและบริหารจัดการให้โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมทางการศึกษาพหุวัฒนธรรมที่เป็นมิตร โดยจะประกอบไปด้วยโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม และห้องเรียนภาษาเกาหลี
“นอกจากนี้ ศูนย์ฯ จะให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านกองทุน การให้คำปรึกษาและการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้า และด้านอื่นๆ สำหรับโรงเรียนที่มีนโยบายด้านพหุวัฒนธรรมศึกษา”
ประการที่ห้า – ศูนย์จะมีการสร้างและดำเนินการระบบความร่วมมือระหว่างองค์กรท้องถิ่น ผ่านการจัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานรัฐ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มหาวิทยาลัย และภาคประชาสังคมในภูมิภาค ในการจัดทำแผนระดับชุมชนเพื่อสนับสนุนพหุวัฒนธรรมศึกษา เพื่อเชื่อมต่อโรงเรียนที่มีนโยบายด้านพหุวัฒนธรรมศึกษาเข้ากับหน่วยงานหรือองค์กรท้องถิ่นต่างๆ
ประการที่หก – ช่วยให้ท้องถิ่นได้ออกแบบและดำเนินการโครงการพิเศษ โดยปรับให้เหมาะกับความต้องการหรือเงื่อนไขในแต่ละท้องถิ่น
ซอ ฮอน จู ยังกล่าวทิ้งท้ายเพื่อย้ำความสำคัญของการจัดให้มีพหุวัฒนธรรมศึกษาอีกว่า “ในตอนนี้มีนักเรียนซึ่งมาจากหลากหลายวัฒนธรรมกว่า 137 คน ดังนั้น ในการวางรากฐานให้แก่พหุวัฒนธรรมศึกษาในโรงเรียน จึงเป็นประเด็นสำคัญในเกาหลี ณ ขณะนี้”
ที่มา:
Government Structure and Efficient Mechanism for an Area-Based Education