ด้วยเหตุที่การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education) เป็นปรัชญาการศึกษาที่ละเอียดอ่อน มุ่งสร้างประโยชน์อย่างครอบคลุมและเท่าเทียมให้แก่ผู้เรียนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะเยาวชนที่เป็นผู้พิการซึ่งตกหล่นจากระบบการศึกษาเพราะข้อจำกัดต่างๆ ดังนั้นเองจึงต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลากหลายด้านในการร่วมกันดำเนินงาน ทั้งในเรื่องของหลักสูตรการศึกษา โครงสร้างพื้นฐานตามหลักการอารยสถาปัตยกรรมไปจนถึงนโยบายในการขับเคลื่อน เพื่อให้การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ได้ลงรากอย่างแข็งแรงและยั่งยืน
โดยเริ่มตั้งแต่หน่วยงานต้นน้ำที่เป็นผู้กำหนดทิศทาง นโยบาย และสนับสนุนงบประมาณ ไปจนถึงกลางน้ำคือกลไกระดับภูมิภาคและสถานศึกษาต่างๆ ที่นำนโยบายไปดำเนินงาน สุดท้ายคือปลายน้ำที่เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการศึกษาแบบเรียนรวม นั่นคือสัมฤทธิผลที่จะสร้างประโยชน์แก่นักเรียนที่เป็นผู้พิการ ผู้ปกครอง และชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆ อย่างแท้จริง
เช็คจุดแข็งจุดอ่อน ก่อนไปต่ออย่างยั่งยืน
องค์ประกอบลำดับแรกๆ ที่มีความสำคัญในการเริ่มต้นจัดการศึกษาแบบเรียนรวม คือเรื่องของความพร้อมในการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา โดย ผศ.ดร.ชูชัย สุจิวรกุล นักวิชาการสาขาครุศาสตร์โยธา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และหัวหน้าโครงการวิจัยการพัฒนากรอบการสำรวจความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education) รองรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญขององค์ประกอบในส่วนนี้ว่า
“ช่วงเริ่มต้นในการจะรับผู้พิการเข้าเรียน สถาบันการศึกษาควรพัฒนาสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน คือเรื่องของหลักสูตรและอาจารย์ผู้สอน โดยเฉพาะทัศนคติในการสอนผู้เรียนที่มีความพิการ อาจารย์ผู้สอนจะต้องมีใจที่จะเข้าไปสอนด้วย จุดนี้เราสามารถเริ่มต้นพัฒนาได้เลย”
อาจารย์ชูชัยยังได้ให้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า ในการเตรียมความพร้อมของหลักสูตรการสอนและบุคลากรด้านการสอน สถานศึกษาสามารถดำเนินการได้ในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมหรือให้ความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวมแก่อาจารย์ผู้สอน เพื่อให้ผู้สอนมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อข้อจำกัดของนักเรียนผู้พิการ

นอกจากนี้ยังรวมถึงวิธีการติดตามพัฒนาการของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มผู้พิการ ด้วยรูปแบบของการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคล หรือ IEP (Individualized Education Program) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในการนำมาประยุกต์ใช้กับกลุ่มเยาวชนที่เป็นผู้พิการ ซึ่งเป็นผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเฉพาะด้าน
IEP เปรียบเหมือนสมุดพกที่ช่วยให้สถานศึกษานำไปพิจารณากำหนดแผนการสอน และการจัดสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ตอบโจทย์ในเรื่องพัฒนาการด้านการเรียนเฉพาะบุคคล เพราะผู้พิการแต่ละประเภทมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น IEP ยังเป็นประโยชน์ต่อการวางทิศทางการเรียนการสอนในอนาคตอีกด้วย
สำหรับประเด็นในเรื่องความพร้อมของหลักสูตรและอาจารย์ผู้สอนในปัจจุบันซึ่งเน้นไปที่สถานศึกษาอาชีวศึกษาที่มีการจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้พิการมาอย่างต่อเนื่อง ดร.อินทร์ธิรา คำภีระ อาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์โยธา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ให้ความเห็นไว้ว่า
“จากการลงพื้นที่เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาแบบเรียนรวม โดยเก็บข้อมูลจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาในทุกภูมิภาค พบว่ามีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ในส่วนที่เป็นจุดแข็งคือการที่สถานศึกษาอาชีวศึกษามีการเปิดรับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการอยู่แล้ว ทำให้เป็นสถานศึกษาที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเรียนการสอนกับนักเรียนผู้พิการอยู่พอสมควร ทั้งในแง่การช่วยเหลือดูแลนักศึกษาในเชิงกายภาพ และการพิจารณาความเหมาะสมในด้านการเรียนการสอน”

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
แม้ว่าที่ผ่านมาสถานศึกษายังไม่ได้หยิบยกเอาแนวคิดเรื่องการศึกษาแบบเรียนรวม(Inclusive education) มาเป็นตัวกำหนดรูปแบบหลักสูตรอย่างชัดเจน แต่การใช้คำว่าการศึกษาสำหรับทุกคน (Education for all) ก็เป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้พิการใน 9 ประเภทได้เรียนร่วมกับนักศึกษาคนอื่น ๆ อยู่แล้ว โดยนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษหรือนักเรียนผู้พิการประกอบไปด้วย 9 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้มีความบกพร่องทางการเห็น กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านการได้ยิน กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหว กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านการสื่อสาร กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านจิตใจ กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านอารมณ์ กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านพฤติกรรม กลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านสติปัญญาและสุดท้ายคือกลุ่มผู้มีความบกพร่องด้านการเรียนรู้[1]
อาจารย์อินทร์ทิราได้ยกตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นการจัดแผนการสอนที่เหมาะสมสำหรับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการแต่ละประเภท ยกตัวอย่างเช่น วิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา ได้จัดหลักสูตรที่ตอบโจทย์สำหรับนักศึกษาที่มีความพิการทางด้านการเคลื่อนไหว แต่ยังมีสติปัญญาที่โดดเด่น เช่น สาขาดิจิทัลกราฟิก หรือกรณีของวิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก ที่สนับสนุนให้ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ให้ได้เรียนในสาขาการออกแบบกราฟิก เป็นต้น
“สาขานี้ค่อนข้างจะเติมเต็มให้กับน้องได้ เนื่องจากพอเขาไม่ได้ยินก็จะโฟกัสในจินตนาการความคิด ทุกอย่างจึงไปแสดงออกเป็นผลงานที่เขาดีไซน์ ผลงานที่ทางดอนบอสโกสร้าง เป็นเหมือนศูนย์ฝึกบ่มเพาะอาชีพในการเป็นผู้ประกอบการ คือรับออกแบบออกแบบทั้งสิ่งพิมพ์ ออกแบบเสื้อผ้าที่ใช้งานกราฟิก ซึ่งทั้งหมดเป็นฝีมือของน้องที่มีความพิการทางการได้ยิน”
ส่วนข้อจำกัดที่ยังเป็นจุดอ่อนในการจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการ อาจารย์อินทร์ธิราได้สะท้อนว่า จากการสอนทั้งเด็กปกติให้เรียนรวมกับเด็กที่มีความพิการหลากหลายประเภท บางสาขาอาจจะไม่ใด้มีแค่ผู้เรียนที่มีความพิการในรูปแบบเดียว เช่น มีทั้งกลุ่มที่พิการทางด้านการได้ยินและกลุ่มที่พิการด้านสติปัญญามาเรียนรวมกัน จึงเป็นข้อจำกัดในเรื่องจำนวนบุคลากรครูที่มีไม่เพียงพอ ยิ่งเป็นการสอนที่ใช้วิธีการให้ครูผู้สอนประกบกับนักเรียนที่เป็นผู้พิการแบบรายบุคคล ยิ่งพบว่ามีน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย
สิ่งที่สำรวจพบในสถานศึกษาอาชีวศึกษา คือการพยายามให้สถานศึกษาปรับเปลี่ยนไปตามบริบทความเป็นจริง และศักยภาพในการดูแลตัวเองของผู้เรียน รวมทั้งใช้วิธีการให้เพื่อนที่สภาพร่างกายปกติดูแลเพื่อนที่มีความบกพร่อง
จากข้อมูลการสำรวจหลักสูตรการศึกษาสำหรับผู้พิการในสถานศึกษาอาชีวศึกษาจะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปรับปรุงให้สถานศึกษามีความพร้อมได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในระดับของผู้กำหนดนโยบายที่จะเข้ามาหนุนเสริมและต่อยอดจากจุดแข็งจุดอ่อนที่มีอยู่เดิม เพื่อให้หลักสูตรการสอนมีความเหมาะสมสำหรับผู้พิการแต่ละประเภทได้มากยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะเข้ามาเอื้ออำนวยให้การศึกษาแบบเรียนรวมมีความพร้อมมากยิ่งขึ้น คือปัจจัยในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมต่างๆ ในชั้นเรียน ซึ่งเป็นไปตามหลักการของอารยสถาปัตยกรรม(Universal Design) โดยภาพรวมในส่วนนี้ ผศ.ดร. ชูชัย สุจิวรกุล หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ได้สะท้อนให้เห็นว่า
“จากการลงพื้นที่สำรวจสถานศึกษาอาชีวศึกษาในหลายภูมิภาค พบว่าอาคารส่วนใหญ่เป็นอาคารที่ใช้แบบมาตรฐานอาชีวะซึ่งใช้กันมานานแล้ว ควรต้องมีการปรับปรุง เพราะอาคารส่วนใหญ่สร้างตั้งแต่ก่อนมีกฎกระทรวงปี 2548 ซึ่งเป็นกฎหมายที่บังคับให้มี Universal Design กลายเป็นทำให้เป็นอุปสรรคต่อผู้พิการที่จะเข้าไปมาใช้บริการ โดยเฉพาะผู้พิการที่ใช้รถเข็นวีลแชร์ที่ต้องขึ้นอาคาร รวมทั้งทางลาดต่างๆ ของเดิมที่มีอยู่ แต่อาจยังไม่ได้มาตรฐานสำหรับผู้พิการ”
อีกหนึ่งประเด็นที่อาจารย์ชูชัยมีความเห็นว่าควรปรับปรุง คือเรื่องของสภาพแวดล้อมภายในห้องเรียน ซึ่งทางสถานศึกษาสามารถจัดวางผังในห้องเรียนให้เป็นสัดเป็นส่วนโดยเฉพาะสำหรับผู้พิการบางประเภท รวมทั้งการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับการเรียนการสอนของนักเรียนที่เป็นผู้พิการได้ โดยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สามารถทำให้เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว (Quick win) ได้เลยในช่วงปีแรก เพื่อขับเคลื่อนในเรื่องของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับผู้พิการ
“การปรับสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนเป็นเรื่องสำคัญ สามารถดำเนินการได้เลย หากต้องใช้งบประมาณในการลงทุน จะได้ตั้งงบประมาณในระยะยาวต่อไป ทุกวิทยาลัยควรจะพัฒนาแบบโครงสร้างมาตรฐานที่รองรับผู้พิการอย่างแท้จริง คือต้องออกแบบอาคารที่ถูกต้องและมีการตั้งงบประมาณเพื่อการก่อสร้างในอนาคต”
สำหรับการดำเนินงานในระยะยาว อาจารย์ชูชัยได้ฝากทิ้งท้ายไว้ว่าสถานศึกษาที่จะตั้งให้เป็นศูนย์การศึกษาพิเศษสำหรับผู้พิการในแต่ละภูมิภาค ควรมีนโยบายที่ชัดเจนและปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักอารยสถาปัตยกรรม ทั้งอาคารสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวก และสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน เพื่อให้เป็นต้นแบบของแต่ละภูมิภาค และเกิดผลประโยชน์สูงสุดกับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการ
เสียงสะท้อนของสถานศึกษาสู่ปฏิบัติการในระดับนโยบาย
“ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้ คิดว่าสิ่งสำคัญของคนทำงานคือเรื่อง Leadership และ Teamwork รวมทั้ง Attitude สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักในการจัดการศึกษาพิเศษ”
นางปัทมา วีระวานิช อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาให้ความเห็นเกี่ยวกับองค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนแนวคิดเรื่องการศึกษาแบบเรียนรวมให้ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมว่า เดิมนโยบายในเรื่องของการศึกษาพิเศษอาชีวศึกษาจัดอยู่ในกลุ่มสร้างความเสมอภาคและลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงจากแผนยุทธศาสตร์ชาติมายังแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13[2] สอดรับกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ
“กลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้มีหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ยากจน ขาดโอกาส และน้อง ๆ ที่มีความพิการ เพราะจากความหลากหลายของประเภทความพิการ ทำให้มีความยากลำบากในการเข้าถึงระบบการศึกษา”
อดีตรองเลขาธิการ สอศ.กล่าวถึงการดำเนินงานเกี่ยวกับการศึกษาสำหรับผู้พิการที่ผ่านมาว่า แต่เดิมสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีภาคีเครือข่ายในการบริหารระดับภาคอยู่แล้ว โดยเฉพาะในระดับจังหวัดที่มีการประสานความร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตลอดจนสมาคมผู้พิการในจังหวัดนั้นๆ
“สอศ.ดูตัวเลขของจำนวนน้องๆ ที่พิการจากทาง พม. แล้วทำงานร่วมกับโรงเรียนในระดับมัธยมที่เป็นตัวป้อนเยาวชนเข้าสู่อาชีวศึกษาในส่วนของการศึกษาพิเศษ สอศ.ไม่ได้ดูเฉพาะน้อง ๆ ที่อยู่ในระบบการศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มที่อยู่นอกระบบการศึกษาด้วย ถ้าหากอาชีวศึกษาจัดการศึกษาพิเศษต่อไป สอศ.สามารถจัดหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพตามความต้องการของกลุ่มอาชีพโดยประสานงานผ่านสมาคมผู้พิการแต่ละประเภทได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ สอศ.ดำเนินการอยู่แล้ว”

นางปัทมา ให้ความเห็นเพิ่มว่า ควรนำแผนธุรกิจมาใช้ในการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด (Stakeholder) ตั้งแต่ผู้ปกครอง ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการทำงานกับเยาวชนพิการ ตลอดจนฝั่งของผู้ประกอบการว่าทุกฝ่ายมีคุณสมบัติที่สำคัญ 3 ประการ คือ ความเป็นผู้นำ (Leadership) การทำงานเป็นทีมร่วมกัน (Teamwork) รวมทั้งทัศนคติ (Attitude) ที่ดีต่อการทำงานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้พิการ
“ณ วันนี้ทัศนคติของผู้ปกครองเป็นอย่างไร มีการยอมรับแค่ไหนว่าลูกหลานสามารถพัฒนาไปสู่การประกอบอาชีพได้ รวมทั้งทัศนคติของภาคประกอบการที่จะรับน้องๆ เข้าทำงานด้วย และทัศนคติของภาคีเครือข่ายที่จะต้องช่วยกันดูแล อย่าง พม. ที่ดูแลน้องพิการตั้งแต่เกิดจนกระทั่งมีบัตรประจำตัวผู้พิการ เขาต้องดูแลตลอดชีวิตของความพิการ ยกเว้นในช่วงการจัดการเรียนรู้ที่จะส่งต่อให้กับทาง สอศ. ดังนั้นการที่จะทำให้คนเห็นความสำคัญ ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าผู้พิการมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้ สร้างความตระหนักว่าทุกคนในเครือข่ายมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบสังคม โดยมีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป”
สำหรับแนวคิดเรื่องการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) ที่มีข้อเสนอปรับโครงสร้างพื้นฐานด้วยแนวคิดอารยสถาปัตยกรรมควบคู่กันไปด้วยนั้น อาจารย์ปัทมาวิเคราะห์จากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาและให้ความเห็นไว้ว่า
“ในการวางแผนดำเนินงาน คงไม่ใช่แค่เรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ควรส่งเสริมในเรื่องของกระบวนการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษา และสื่อนวัตกรรมต่าง ๆ ที่จะมาหนุนเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้มากขึ้น”
สำหรับองค์ประกอบในกระบวนการจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาสำหรับผู้พิการ อดีตรองเลขาฯ อสศ. ให้ข้อมูลว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดแต่ละประเภทของความพิการ เช่น ผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็น ให้เน้นไปทางการใช้ความรู้ที่สอดคล้องกับการรับฟัง หรือการอ่านด้วยภาษาเบรลล์ (ฺBraille) ส่วนกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานได้ค่อนข้างกว้าง อาจจัดการเรียนการสอนโดยเปลี่ยนการเตือนเป็นสัญญาณไฟ หรือการสั่นสะเทือน รวมทั้งสัญญาณภาพ เพื่อให้กลุ่มนี้สามารถเรียนรู้ได้
นอกจากนั้นยังมีองค์ประกอบสำคัญเรื่องสื่อนวัตกรรมว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ ให้การศึกษาแบบเรียนรวมมีความคล่องตัวมากขึ้น
“สื่อนวัตกรรมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในการศึกษาแบบเรียนรวม นักศึกษาที่เป็นผู้พิการจะสามารถเรียนรู้ได้เท่ากับเพื่อนๆ ที่เป็นปกติหรือไม่ ถ้าไม่เท่ากัน การจัดชุดกิจกรรมการเรียนรู้ (Learning package) ต้องมาอุดรูรั่วตรงนี้ด้วย คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐต้องเอาจริงเอาจัง ต้องหาวิธีการว่าทำยังไงที่จะมี Learning package สำหรับผู้พิการในแต่ละประเภท”
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้การศึกษาแบบเรียนรวมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ คือเรื่องของบุคลากรที่เป็นอาจารย์ผู้สอน ดร.อินทร์ธิรา คำภีระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาแบบเรียนรวม ซึ่งได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนนี้ได้เสนอความเห็นว่า
“ตอนนี้คุณครูมีความเชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่รับน้องพิการไปเรียน แต่คุณครูยังมีความเข้าใจในเรื่องความพิการแต่ละประเภทไม่ลึกซึ้ง ว่าแต่ละประเภทก็มีระดับความรุนแรงของความพิการอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่การจัดการศึกษาสำหรับผู้พิการควรจะทำ คือให้ความรู้กับครูที่จะจัดการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ หรือแม้แต่การให้ออกไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพ ให้ความรู้ในเรื่องดีกรีความพิการในแต่ละประเภทว่าน้อง ๆ มีศักยภาพแค่ไหน แล้วเขาช่วยเหลือตัวเองได้ระดับใด”
อาจารย์อินทร์ธิราได้เสนอแนะการดำเนินงานในส่วนนี้อย่างเป็นรูปธรรมว่า ในระยะ Quick win ควรให้ความรู้กับบุคลากรด้านการสอน เรื่องความแตกต่างของศักยภาพในการเรียนของนักศึกษาผู้พิการแต่ละประเภทควบคู่ไปกับความรู้ในการออกแบบเพื่อการเรียนรู้สากล (Universal Design for Learning) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
นอกเหนือจากการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้บุคลากรด้านการสอนแล้ว ผศ.ดร. ธีรพงษ์ บัวหล้า ที่ปรึกษาโครงการวิจัยฯ ได้ให้ตัวอย่างและแนวทางไว้ดังนี้
“ผู้ที่จบทางด้านการศึกษาเขาถูกปลูกฝังความเป็นครูมาอยู่แล้ว แต่บางครั้งการทำงานกับผู้พิการไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีเกิดความท้อ ทำให้เขาต้องการกำลังใจ ซึ่งกำลังใจสามารถให้ได้ในหลายรูปแบบ ผมเคยเสนอว่าในแต่ละปีที่จะจัดงานวันไหว้ครู ช่วยมีสัมโมทนียกถา[3]ขอบคุณครูกลุ่มนี้หน่อยได้ไหม เพราะเขาออกแรงมากกว่าครูกลุ่มสาระอื่น ครูกลุ่มนี้บางคนยอมไปเรียนภาษามือโดยการจ่ายเงินเอง เพราะฉะนั้นในเมื่อวิทยาลัยมีคณะกรรมการสถานศึกษาอยู่แล้ว ดังนั้น Quick win ที่เกี่ยวข้องกับครูผู้สอนจะสามารถจัดงบประมาณให้ครูเหล่านี้ไปอบรมอะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักเรียนผู้พิการได้หรือไม่”
จากองค์ประกอบต่างๆ ของการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมในสถานศึกษาอาชีวศึกษา จะเห็นได้ว่ามีทั้งรูปธรรมความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้ว และข้อจำกัดอีกหลายประการที่รอการขับเคลื่อนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งองคาพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญญาณที่ชัดเจนจากระดับนโยบาย เพื่อกำหนดทิศทางและงบประมาณในการดำเนินการต่อไป

ความเห็นจาก ผศ.ดร. ชูชัย สุจิวรกุล หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ได้กล่าวถึงแบบ(ร่าง)โครงสร้างพื้นฐาน และสภาพแวดล้อมที่จำเป็นต่อการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ซึ่งเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนที่สะท้อนถึงการขับเคลื่อนในระดับนโยบาย
อาจารย์ชูชัยให้ข้อมูลว่า แบบร่างที่เกิดขึ้นเป็นการปรับโครงสร้างพื้นฐานเบื้องต้นสำหรับสถานศึกษาที่มีการจัดการเรียนสอนสำหรับผู้พิการ สถานศึกษาอาจนำแบบร่างนี้ไปปรับใช้ได้เลยโดยใช้งบประมาณที่ไม่ได้สูงจนเกินไป แต่กรณีที่สถานศึกษาไม่มีงบประมาณ อาจเริ่มปรับปรุงจากสภาพแวดล้อมของห้องเรียนก่อน โดยใช้แบบร่างของทางคณะวิจัยฯ และนำครุภัณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ไปปรับปรุง หรือจัดห้องพิเศษที่ควรจะมีสำหรับผู้พิการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ส่วนการปรับปรุงโครงสร้างอาคารที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เช่น การทำทางลาดหรือลิฟต์ อาจจะพิจารณาในระยะต่อไป โดยสถานศึกษาแต่ละแห่งสามารถดำเนินกิจกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจวางเป็นแผนระยะยาวสามปีหรือห้าปีตามความเหมาะสม
สุดท้ายนี้ อาจารย์ชูชัยได้สะท้อนไปถึงผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศไว้ว่า
“อยากให้รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญเรื่องนี้ สนับสนุนให้มีการพัฒนากลุ่มผู้พิการอย่างเป็นระบบ เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว สุดท้ายเขาจะออกนอกระบบการศึกษา ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ฉะนั้นถ้าเริ่มต้นนำพวกเขาเข้ามาในระบบการศึกษาได้ แล้วพัฒนาให้เรียนอาชีวะจนได้อาชีพ อาชีพเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องได้วุฒิการศึกษาก็ได้นะครับ อาจจะเป็น Certificate ด้านใดด้านหนึ่ง ที่ช่วยให้เขาทำงานตรงกับความสามารถและความพิการ ผมเชื่อว่าอาชีวศึกษาเป็นหน่วยงานที่ควรที่จะจับประเด็นนี้อย่างชัดเจน”
[1] พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ.2551 อ้างอิงข้อมูลจากการประชุมชี้แจงการบริหารจัดการเงินอุดหนุนทางการศึกษาสำหรับคนพิการ ในระดับอาชีวศึกษา ประจำปีการศึกษา 2568
[2] แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 มีเป้าหมายใน 4 มิติ คือ มิติภาคการผลิตและบริการ มิติโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม มิติความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมิติปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ
[3] แปลว่าถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ ในทางพุทธศาสนาคือการพูดแสดงความขอบคุณ หรือกล่าวถึงประโยชน์หรืออานิสงส์ของความดีที่ทายก ทายิกา ได้กระทำ
