อาชีพครูอาจเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเด็กไปจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะนอกจากการเป็นผู้ให้วิชาความรู้ต่างๆ แล้ว ยังเกี่ยวข้องใกล้ชิดไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ปกครองในบางครอบครัว แต่เรากลับได้ยินข่าวด้านลบเกี่ยวกับอาชีพนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งด้านพฤติกรรมและการใช้อำนาจที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็ก ดังที่ปรากฏเป็นหัวข้อกระทู้ยอดฮิตบนอินเทอร์เน็ตที่มักกล่าวถึงข้อเสียของอาชีพครูมากกว่าในแง่ดี ทั้งที่ครูควรเป็นอาชีพที่ได้ความเคารพนับถือและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นใหม่
แม้อาชีพครูจะตั้งอยู่บนเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ก็เหนื่อยหนักไม่ใช่น้อยเมื่อเทียบกับค่าตอบแทนและหนทางเติบโตในอาชีพ อีกทั้งระบบการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะทำให้ครูต้องหันไปทุ่มเทกับงานเอกสารมากกว่าการพัฒนาวิธีสอน เพราะโครงสร้างของระบบการบริหารโรงเรียนที่ทุกอย่างต้องถูกประเมินโดยระดับผู้บริหารที่พิจารณาจากเอกสารเป็นหลัก โดยนักเรียนไม่มีส่วนร่วมทั้งที่อยู่ ‘หน้างาน’ โดยตรง ประกอบกับวัฒนธรรมที่ต้องเชื่อฟังผู้อาวุโสมากกว่า ทำให้ครูรุ่นใหม่หลายคนไม่มีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ ทั้งภาระงานอันล้นหลามล้วนกองอยู่บนหน้าตักครูชั้นผู้น้อย ทำให้ความก้าวหน้าในวิชาชีพครูยากที่จะก้าวไปไกลกว่าการยืนสอนหน้ากระดานและทำเอกสารเสนอให้ผู้บริหาร
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสภาพสังคมในแวดวงอาชีพครูเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของระบบการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบการศึกษาที่หลายคนอาจมองข้ามไป เพราะโรงเรียนหรือสถานศึกษาก็เป็นองค์กรที่ต้องบริหารจัดการให้บุคลากรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากองค์กรของวงการอื่นๆ วิสัยทัศน์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดผลลัพธ์ตั้งแต่ต้น ดังเช่นที่ Chua-lim Yen Ching ผู้อำนวยการบริหารสถาบันการศึกษาของครู และรองอธิบดีกรมการส่งเสริมวิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ ประเทศสิงคโปร์ ได้เคยกำหนดวิสัยทัศน์ในการบริหารโรงเรียนของเธอมาก่อน
Northlight School เป็นโรงเรียนทางเลือกแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นเพื่อเปิดรับนักเรียนที่ล้มเหลวจากการสอบเข้าศึกษาต่อระดับมัธยม ซึ่งที่สิงคโปร์หากจบ ป.6 แล้วสอบเข้ามัธยมไม่ได้จะต้องเรียนซ้ำชั้น โรงเรียนแห่งนี้จึงเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะจุดประกายความหวังให้กับเด็กเหล่านี้อีกครั้งโดยไม่ต้องซ้ำชั้นเรียน
วิสัยทัศน์ของ Chua-lim Yen ในการบริหาร Northlight School คือ “ยิ่งมืดมิด ดวงดาวยิ่งเปล่งประกาย” กล่าวคือ การเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กที่เคยล้มเหลว ให้ความเอาใจใส่ และผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมที่เกื้อกูลกัน โดยการใช้วิธีคิดที่กำหนดความสำเร็จรูปแบบใหม่ เช่น การใช้กล้องวงจรปิดในโรงเรียน ซึ่งโดยปกติแล้วกล้องวงจรปิดมีไว้บันทึกภาพผู้กระทำผิด แต่กล้องวงจรปิดในโรงเรียนแห่งนี้ มีไว้เพื่อดูว่ามีใครทำอะไรดีๆ บ้าง จะได้ชื่นชมและให้กำลังใจกันต่อไปทั้งครูและนักเรียน
การเป็นครูในโรงเรียนแห่งนี้จึงถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ซึ่ง Chua-lim Yen กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นครูว่า ต้องมีความตั้งใจที่จะเป็นครู และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นหมู่คณะได้ เพราะโดยลักษณะการบริหารงานไม่ใช่การสั่งการจากบนลงล่าง แต่เป็นการประสานความร่วมมือกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของนักเรียนเป็นสำคัญ ทั้งระหว่างครู ผู้บริหาร และชุมชน ซึ่งเส้นทางของอาชีพครูนั้นจะสามารถเลื่อนไปเป็นครูอาวุโส หัวหน้าครู และครูใหญ่ได้ตามลำดับ
ลักษณะการบริหารมีความสัมพันธ์กับระบบการพัฒนาครูที่ให้ความสำคัญกับภาวะผู้นำของครูด้วย โดยครูฝึกหัดจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 16 เดือน ถึง 2 ปี ลักษณะของโครงการจะมีการพัฒนาทักษะความเป็นมืออาชีพของครูอย่างเต็มที่ และเมื่อครูคนนั้นจะก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้บริหารโรงเรียนจะต้องได้รับการฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะโดยมีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจเป็นเกณฑ์สำคัญ
นอกจากนี้ ‘การสอน’ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของครูนั้น ต้องมองว่าไม่ใช่งานของคนคนเดียว รับผิดชอบเฉพาะสิ่งที่ตนเองสอน ต้องมีการทำงานเป็นหมู่คณะเพื่อช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เช่น การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการสอน การแนะนำครูที่ยังขาดทักษะ โดย Chua-lim Yen เชื่อว่าครูที่มีศักยภาพ 1 คน จะสามารถช่วยครูคนอื่นๆ ให้มีศักยภาพมากขึ้นต่อไปเป็นทอดๆ ได้ไม่สิ้นสุด และครูที่มีศักยภาพก็จะทำให้นักเรียนมีศักยภาพมากขึ้นต่อไป
ไม่ใช่แค่ครู ผู้บริหาร และนักเรียนเท่านั้น เพราะองค์ประกอบของการเรียนรู้ต้องเกิดจากการใช้ชีวิต ชุมชนจึงมีบทบาทสำคัญเช่นกัน Chua-lim Yen ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่ศิษย์เก่าของโรงเรียนลางานเพื่อกลับไปช่วยเหลือบริษัทที่เป็นพันธมิตรกับโรงเรียน เพราะเด็กเหล่านั้นเคยฝึกงานที่บริษัทแห่งนี้มาก่อน และศิษย์เก่าที่กลับมาเลี้ยงไอศกรีมรุ่นน้องของพวกเขา เพราะพวกเขาเคยได้รับไอศกรีมจากพันธมิตรที่สนับสนุนโรงเรียนเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนมีวัฒนธรรมในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในโรงเรียนและชุมชนข้างนอก เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะสร้างสังคมแห่งการเกื้อกูลกันด้วย
ในปี 2016 หรือเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งโรงเรียนเมื่อปี 2007 นักเรียนของ Northlight School สามารถเข้าศึกษาต่อที่ The Institute of Technical Education (ITE) ซึ่งเป็นสถาบันสายอาชีพที่มีชื่อเสียงได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากปีแรกๆ ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และในปีเดียวกันนั้นนักเรียนกว่า 1,400 คน ก็สามารถจบการศึกษาและเข้าศึกษาต่อในสถาบันต่างๆ ได้
สิ่งเหล่านี้คงไม่ได้เกิดจากหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพอย่างเดียว เพราะโรงเรียนแห่งนี้ครูยังทำหน้าที่เยี่ยมบ้านนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งพานักเรียนไปหาหมอ ซื้ออาหารให้นักเรียนที่กำลังหิว หรือแม้แต่ให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากวัฒนธรรมการทำงานในโรงเรียนไม่เอื้อให้ครูได้ใช้เวลาร่วมกับนักเรียน
หากระบบการศึกษาคือหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของประชากรในประเทศ ฉะนั้นบุคลากรในองค์กรการศึกษาจึงต้องได้รับการสนับสนุนให้ทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ โดยมีผู้บริหารที่วิสัยทัศน์ดีเป็นปัจจัยหนุนเสริม ผู้บริหารสถานศึกษาควรทำให้เกิดวัฒนธรรมที่บุคลากรสามารถพัฒนาตนเองและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ เพราะท้ายที่สุดแล้วผลของการทำงานจะถูกสะท้อนผ่านผลการศึกษาของนักเรียนนั่นเอง