เมื่อวันที่ 15-16 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับเทศบาลตำบลเกาะคา จังหวัดลำปาง จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาโจทย์วิจัยสาเหตุการหลุดออกจากระบบการศึกษาของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา ในจังหวัดลำปาง มุ่งเป้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ หรือ “Thailand Zero Dropout”
การประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการทำความเข้าใจสถานการณ์และสาเหตุการหลุดออกจากระบบการศึกษาของกลุ่มเป้าหมาย เงื่อนไขและบริบทพื้นที่ที่ส่งผลต่อการเข้าถึงและคงอยู่ในระบบการศึกษา ปัญหาอุปสรรคของผู้มีส่วนได้เสีย และรวบรวมความเห็นจากภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานท้องถิ่น เอกชนและภาคประชาสังคมในการมีส่วนร่วมต่อการแก้ปัญหาการหลุดจากระบบการศึกษาและการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กเยาวชนนอกระบบ เพื่อหาแนวทางในการขับเคลื่อนหรือทดลองมาตรการ (intervention) ในระดับพื้นที่ รวมถึงเข้าร่วมสังเกตการณ์กิจกรรมหน่วยจัดการเรียนรู้ “ลำปางหลวงโมเดล” ซึ่งเป็นต้นแบบในการพาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา เข้าสู่เส้นทางการเรียนรู้ในพื้นที่ โดยการค้นหาและติดตาม พร้อมสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กและเยาวชนร่วมกับกลุ่มจิตอาสาที่เคยเป็นเยาวชนในพื้นที่ เช่น ค่ายเยาวชน การแข่งขันฟุตบอล ฯลฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้ตามความสนใจความถนัดและศักยภาพของตนเอง
รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. กล่าวเปิดงานและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงานว่า การได้รับฟังเสียงสะท้อนและประเด็นจากเด็ก หน่วยงานภาคปฏิบัติ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ถือเป็นหัวใจสำคัญของ วสศ. ที่จะช่วยให้ทีมวิชาการที่เข้ามาสนับสนุน ขับเคลื่อนประเด็นไปสู่การกำหนดเชิงนโยบายในระบบใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือและมีข้อมูลรองรับ ซึ่งจะช่วยให้เกิดพลังในการเปลี่ยนแปลง พร้อมเน้นย้ำว่า ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาไม่ใช่ปัญหาของตัวเด็กเพียงคนเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไข
“เด็กเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับการดูแล อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงได้ ในทางกลับกัน หากเด็กคนเดียวได้รับโอกาส ก็สามารถสร้างศักยภาพและคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศได้เช่นกัน ดังนั้น การประเมินงานควรเน้นคุณค่า สิ่งที่ทุกหน่วยงานกำลังดำเนินการ ล้วนเป็นงานที่มีคุณค่าสูงต่อประเทศชาติทั้งสิ้น”

ด้าน นายอรรณพ ตื้อคำ นายกเทศมนตรีตำบลลำปางหลวง แสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมเปิดงานในครั้งนี้ และกล่าวถึงความร่วมมือของเทศบาลตำบลลำปางหลวงกับภาคีเครือข่ายในการช่วยเหลือเด็กเยาวชนและประชากรวัยแรงงานที่ด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา พัฒนาทักษะอาชีพและมีศักยภาพพึ่งพาตนเองได้ พร้อมตั้งเป้าผลักดันให้ตำบลลำปางหลวงกลายเป็น “พื้นที่ต้นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ต่อไป

ขณะที่ การรายงานข้อมูลสถานการณ์เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาของจังหวัดลำปาง พบว่า สถานการณ์ด้านการพัฒนาการศึกษาของลำปางค่อนข้างดี แต่ปัญหาที่พบคือ เด็กจำนวนมากมีปัญหาความยากจน รวมถึงปัญหาการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ปัญหาเด็กติดเกมส์ รวมถึงสถานการณ์การกระทำความผิดทางอาญา กว่า 2,800 ตัวอย่าง และกว่าร้อยละ 87 ที่พบว่าเด็กไม่อยู่ในจังหวัดลำปาง
สถานการณ์เด็กขาดแคลนทุนทรัพย์รุนแรงมากที่สุดในพื้นที่งาว และเมืองเถิน ซึ่งในจำนวนเหล่านี้ พบว่า จำนวนเด็กที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาของลำปางคือ กว่า 3,700 ตัวอย่าง เป็นเด็กกลุ่มปฐมวัย และกลุ่มอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป (รวมแล้วกว่า 70%) ในจำนวนนี้ เมื่อพิจารณาตามช่วงอายุพบว่า สาเหตุหลักที่กลุ่มปฐมวัยไม่เข้าระบบ คือ เด็กไม่อยากเรียน และพ่อแม่ไม่เห็นความสำคัญของการเข้าระบบการศึกษา ส่วนเด็กในการศึกษาภาคบังคับ พบว่ามีปัญหาจากสาเหตุเรื่องฐานะเศรษฐกิจมากที่สุดกว่าร้อยละ 40 ตามมาด้วยไม่มีแรงจูงใจในการเรียน หรือรวมถึง ปัญหาการเดินทางไปเรียนไม่สะดวก และปัญหาความบกพร่องด้านสติปัญญา สำหรับเด็กกลุ่มมัธยมปลาย พบว่าสาเหตุหลักคือ ขาดแรงจูงใจในการเรียน ร้อยละ 41 ตามมาด้วยปัญหาครอบครัวและโรงเรียน
ซึ่งสอดคล้องกับเสียงสะท้อนของภาคีเครือข่ายในพื้นที่
ผศ.ดร.วิยดา เหล่มตระกูล คณะทำงานสมัชชาการศึกษานครลำปาง ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อมูลที่น่าเป็นกังวลจากการดำเนินงานในพื้นที่ โดยพบว่ากลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นมีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาสูงสุด เนื่องจากต้องเดินทางไปเรียนในโรงเรียนที่ห่างไกลจากครอบครัว ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจในจังหวัดลำปางซึ่งเป็นสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดภาวะ “ครอบครัวแหว่งกลาง” ที่พ่อแม่ต้องไปทำงานต่างถิ่น ทิ้งลูกหลานให้อยู่กับปู่ย่าตายาย ซึ่งช่องว่างระหว่างวัยและการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือหลักในการดูแล อาจนำไปสู่ภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder) ในเด็กได้

นายสันติพงษ์ ศิลปสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลลำปางหลวง ผู้รับผิดชอบโครงการร่วมสร้างชุมชนแห่งโอกาสและการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตเยาวชนนอกระบบการศึกษาบนฐานทุนของชุมชนและความร่วมมือระดับท้องถิ่น กสศ. เสริมว่า นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น สาเหตุอื่นๆ เช่น ปัญหาด้านสุขภาพ ก็อาจเป็นสาเหตุของการหลุดออกจากระบบการศึกษา จากการสะท้อนข้อมูลของผู้อำนวยการสถานศึกษา ปัจจุบันพบเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD) ถึง 140 คน และมี 23 คนที่ต้องเข้ารับการบำบัดจากแพทย์ แต่ยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญคือผู้ปกครองบางส่วนยังไม่ยอมรับภาวะดังกล่าวของบุตรหลาน ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กกลุ่มนี้หลุดออกจากระบบการศึกษา และกลายเป็นปัญหาในอนาคตได้
นายสันติพงษ์ ยังได้นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจในการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวคิดการศึกษาที่ยืดหยุ่นว่า “ใครก็สามารถเป็นครูได้ และสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere, Anytime)” ซึ่งจะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองในแนวทาง “Learn to Earn” โดยไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน

ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นไปอย่างยั่งยืน และเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบ วสศ. จึงถอดบทเรียนการดำเนินงานร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อสังเคราะห์แนวทางการแก้ไข นำไปสู่การกำหนดข้อเสนอเชิงนโยบายในระดับประเทศต่อไป





