เหลือเวลาอีกเพียง 5 ปี เท่านั้นที่กลุ่มประเทศสมาชิก 193 ประเทศขององค์การสหประชาชาติจะต้องบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) หรือ“วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030” ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกที่ได้ร่วมลงนามรับรองพันธะสัญญานี้มาตั้งแต่ปี 2559 ได้ขานรับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมายมาโดยตลอดเป้าหมาย เป็นการมุ่งสร้างความเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ประชากรโลกอย่างครอบคลุมใน 3 มิติ คือสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น มิติด้านสิ่งแวดล้อมในเป้าหมายที่ 13 คือปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น มิติด้านสังคมในเป้าหมายที่ 5 คือบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเพิ่มบทบาทของสตรีและเด็กหญิงทุกคน และมิติด้านเศรษฐกิจในเป้าหมายที่ 8 ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน เป็นต้น
และหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญอย่างยิ่งคือเป้าหมายที่ 4 ในมิติด้านสังคม นั่นคือเรื่องของคุณภาพการศึกษาที่ต้องมีความครอบคลุมและเท่าเทียม(Inclusive and equitable) ในทุกกลุ่มประชากร เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาและสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้พิการซึ่งเต็มไปด้วยข้อจำกัดในหลายมิติ
การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education)เพื่อผู้พิการ
ด้วยแนวคิดที่คำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน จึงทำให้ในปัจจุบันคำว่า “ความครอบคลุม (Inclusive) กลายเป็นจิตสำนึกและค่านิยมร่วมในระดับสากล เพราะความหมายของคำว่าสังคมที่คำนึงถึงความครอบคลุม (Inclusive society) คือสังคมที่ต้องเติบโตและพัฒนาไปพร้อมกันทุกองคาพยพ โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สอดคล้องกับแนวคิดพื้นฐานขององค์การสหประชาชาติ ที่เชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมเสรีภาพ มีสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ปราศจากการเลือกปฏิบัติในความแตกต่างใดๆ ไม่ว่าจะเป็น เพศ วัย ข้อจำกัดทางร่างกาย เชื้อชาติ ศาสนา ไปจนถึงสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงบริการสาธารณะ และทรัพยากรต่างๆ อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม
เช่นเดียวกับการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาคุณภาพประชากรของประเทศ เพราะคุณภาพของการศึกษาเชื่อมโยงโดยตรงกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการจัดการระบบการศึกษาให้เกิดความครอบคลุมและเท่าเทียมในทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น กลุ่มเด็กและเยาวชนผู้พิการ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาประสบปัญหาด้านการศึกษาในหลากหลายมิติ
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ[1] ในปี 2565 พบว่ามีผู้พิการในช่วงอายุ 5-30 ปี ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ สูงถึง 324,630 คน โดยสาเหตุที่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้มีหลายประการ เช่น ความเจ็บป่วยทุพพลภาพหรือพิการ ขาดแคลนทุนทรัพย์ ทัศนคติของครอบครัวหรือเพื่อน ปัญหาเชิงทัศนคติที่ผู้พิการไม่สนใจและไม่เห็นประโยชน์จากการศึกษา รวมถึงการขาดโรงเรียนหรือสถานศึกษาสำหรับผู้พิการ
จากสถานการณ์ดังกล่าวจึงมาสู่แนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนผู้พิการสามารถได้รับโอกาสทางการศึกษาด้วยความเท่าเทียมกับนักเรียนกลุ่มอื่น ๆ ในสังคม จึงมาสู่แนวคิดเรื่องการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education) ที่ให้คุณค่ากับความแตกต่างที่หลากหลาย มุ่งหวังให้นักเรียนทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันในห้องเรียน ไม่ว่าจะมีภูมิหลังหรือข้อจำกัดทางกายภาพที่แตกต่างกัน และสร้างโอกาสทางการเรียนรู้อย่างแท้จริงสำหรับเยาวชนทุกคน
ทั้งนี้หนึ่งในงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) “โครงการพัฒนากรอบการสำรวจความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education) รองรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ” ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาแบบเรียนรวม โดยมี ผศ.ดร.ชูชัย สุจิวรกุล ในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมของการศึกษาแบบเรียนรวม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เสนอความเห็นไว้ตอนหนึ่งถึงประโยชน์ที่นักศึกษาที่เป็นผู้พิการจะได้รับจากการศึกษาแบบเรียนรวมไว้ว่า
“การจัดการศึกษาที่เกี่ยวกับ Inclusive education เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะโดยทั่วไปแล้วเรามักจะผลักผู้พิการออกจากระบบที่เรียนร่วมกับนักศึกษาปกติ ดังนั้นการจัดศึกษาแบบ Inclusive education ที่ทำให้เกิดการเรียนร่วมกันระหว่างนักศึกษาปกติ กับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการ จะช่วยทำให้ผู้พิการได้เรียนรู้การใช้ชีวิตจริง เพราะหลังจากจบการศึกษาเขาจะต้องอยู่ร่วมในสังคมจริงๆ”

นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมของการศึกษาแบบเรียนรวม
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ในขณะที่ประเทศไทยนั้นเต็มไปด้วยทรัพยากรที่มีศักยภาพด้านการศึกษา ทั้งในเรื่องของบุคลากร สถานศึกษา งบประมาณ รวมทั้งการบริหารจัดการในระดับนโยบาย หากสามารถบูรณาการทุกองค์ประกอบให้เดินไปสู่ทิศทางของการศึกษาแบบเรียนรวม ย่อมมีความหวังว่าระบบการศึกษาไทยจะก้าวสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืน
ส่งเสริมการศึกษาแบบเรียนรวมด้วยอารยสถาปัตย์ (Universal Design)
อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่จะนำไปสู่การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับผู้พิการจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลายประการในการส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จ หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐานของสถานศึกษาที่จะรองรับเด็กและเยาวชนผู้พิการ โดยเฉพาะการคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตยกรรม(Universal Design) ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้ทุกกลุ่มประชากรสามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนทั่วไป
สำหรับคำจำกัดความของอารยสถาปัตยกรรม ตามข้อมูลจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ[2] ได้ให้ขอบเขตว่าเป็นหลักการออกแบบสภาพแวดล้อมให้คนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ คนปกติ คนพิการ ให้ไม่มีอุปสรรคในการใช้งาน สร้างความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงพื้นที่การให้บริการต่างๆ อย่างเท่าเทียม โดย ผศ.ดร. ชูชัย สุจิวรกุล ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย“การพัฒนากรอบการสำรวจความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive education) รองรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ” ได้ขยายความแนวทางของหลักอารยสถาปัตยกรรม ไว้ดังนี้
“Universal Design เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้าถึงอาคาร ยกเช่น ต้องจัดเตรียมที่จอดรถที่ใกล้ที่สุด
ให้การเดินเข้าอาคารไม่มีการสะดุดจากที่จอดรถ หรือทางเดินภายในมหาวิทยาลัยต้องสามารถเดินได้อย่างสะดวก การข้ามถนนไม่มีสเต็ปขวางกั้น รวมทั้งการเข้าอาคารต้องมีทางลาด ตลอดจนห้องน้ำที่จัดเตรียมสำหรับผู้พิการ”
ผศ.ดร.ชูชัย ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกฎหมายที่คาบเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องอารยสถาปัตยกรรม ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่ได้จากการลงพื้นที่โครงการวิจัยไว้ว่า
“ความจริงแล้วเรื่องของ Universal Design เป็นกฎหมาย[3] ที่บังคับใช้กับสถานศึกษาและสถานที่อื่น ๆ เพื่อให้บุคคลที่มีความพิการหรือคนชราสามารถเข้าไปใช้ได้ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือกฎหมายนี้ไม่ค่อยถูกบังคับอย่างจริงจัง เนื่องจากสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ราชการ เพราะฉะนั้นเทศบาลหรือเขตไม่ต้องมาตรวจแบบแปลนอาคาร ดังนั้นข้อกำหนดในเรื่อง Universal Design จึงไม่ได้ถูกนำมาลงมือปฏิบัติใช้จริงๆ”
องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างของปรัชญาการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับผู้พิการ คือสถานศึกษาที่มีความพร้อมและจริงจังกับเป้าหมายในการศึกษาแบบเรียนรวม สถานศึกษาอาชีวศึกษาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า สถานศึกษาอาชีวศึกษามีความพร้อมและได้ริเริ่มให้นักศึกษาที่เป็นผู้พิการมีโอกาสได้เรียนรวมกับนักศึกษาทั่วไปมาอย่างยาวนานแล้ว
โดยข้อมูลและมุมมองในเรื่องนี้ มาจาก ดร.อินทร์ธิรา คำภีระ อาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์โยธา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม
“ที่ผ่านมาอาชีวศึกษาค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องของการจัดการศึกษาให้เด็กที่มีความบกพร่องต่าง ๆ ทั้ง 6 ประเภท[4] จากการเก็บข้อมูลพบว่าสาขาวิชาที่อาชีวะออกแบบให้กับนักศึกษา ทางสถาบันฯได้ทำงานมานานพอสมควร จนสามารถวินิจฉัยได้ว่านักศึกษาแต่ละประเภท ควรจะเรียนสาขาอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น สาขาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการออกแบบงานศิลปะ หรือแม้แต่สาขาที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ไม่ว่าเกี่ยวกับอาหารหรือตัดเย็บเสื้อผ้า น้อง ๆ พิการบางประเภทก็เรียนได้”

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
อีกเหตุผลหนึ่งที่ชี้ให้เห็นความเหมาะสมของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในการริเริ่มจัดการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับผู้พิการ เชื่อมโยงกับเป้าหมายในการมีอิสระในการใช้ชีวิต (Independent Living) ซึ่งสาขาอาชีพต่างๆ ของอาชีวศึกษา สามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ให้กับผู้พิการได้เป็นอย่างดี
โดย ผศ.ดร. ธีรพงษ์ บัวหล้า ที่ปรึกษาโครงการวิจัยฯ ยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในการใช้ชีวิตของคนทั่วไปรวมถึงผู้พิการ ล้วนต้องการมีอิสระในการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องของอิสระในการเคลื่อนไหวไปในที่ต่างๆ ด้วยตัวเอง และอิสระทางการเงิน สามารถเลือกงานที่มีรายได้เพียงพอ และมีการเจริญเติบโตในสายอาชีพ (Career path) ซึ่งสาขาวิชาต่างๆ ของอาชีวศึกษาสามารถตอบโจทย์ Independent Living ของผู้พิการได้เป็นอย่างดี

อาชีวศึกษาพร้อมแค่ไหนสำหรับการศึกษาแบบเรียนรวม
เมื่อหันกลับมาทบทวนในด้านความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับผู้พิการ ประเด็นนี้ได้รับการยืนยันจาก นางปัทมา วีระวานิช อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยให้ความเห็นในภาพรวมว่า
“ปัจจุบันเรามีสถานศึกษาอาชีวะของรัฐ 400 กว่าแห่ง ของเอกชนประมาณ 400 กว่าแห่ง รวมแล้วประมาณ 800 กว่าแห่ง ผู้พิการสามารถเดินเข้ามาสมัครแล้วเข้าเรียนได้เลย โดยที่สถานศึกษาไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย และเป็นสิทธิ์ของผู้พิการในการเรียนด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือว่าสถานศึกษานั้นพร้อมที่จะรับและดูแลผู้พิการได้อย่างทั่วถึงหรือไม่”
นอกจากนั้นอดีตรองเลขาฯ สอศ. ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมในเรื่องของการปรับโครงสร้างพื้นฐานตามหลักอารยสถาปัตยกรรม โดยเห็นว่าการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐานให้สถานศึกษากว่า 800 แห่ง อาจเป็นการใช้งบประมาณที่สูงเกินไป แนวทางที่เป็นไปได้คือการปรับโครงสร้างไปตามสถานการณ์ที่เป็นจริง จะทำให้แนวคิดเรื่องการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานแบบอารยสถาปัตยกรรมสำหรับนักศึกษาที่เป็นผู้พิการ มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากกว่า
“ส่วนที่อาชีวศึกษาทำอยู่คือพิจารณาว่าสถานศึกษาไหนที่มีศักยภาพในการดูแลผู้พิการได้ เราประกาศให้เป็นสถานศึกษาเฉพาะทางความพิการ กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยพิจารณาจากการที่สถาบันนั้น ๆ มีประสบการณ์ในการดูแลผู้พิการมายาวนาน ในปริมาณของผู้เรียนพิการที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน แสดงว่าเขาต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการจัดการศึกษาพิเศษอยู่พอสมควร รวมทั้งดูเรื่องทีมเวิร์คของผู้บริหารและคณะครู เมื่อพิจารณาแล้วเราก็จะ Mapping ให้เขาเป็นสถานศึกษาเฉพาะทางด้านความพิการ ทำให้เกิดการดำเนินการเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ต่อไป”

จากนโยบายของ สอศ. ในส่วนนี้ ทำให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาที่มีศักยภาพในการจัดการศึกษาเพื่อผู้พิการ สามารถขอรับงบประมาณสนับสนุนได้เป็นรายโครงการ
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเหมือนว่าองค์ประกอบต่างๆ มีความพร้อมทั้งเรื่องของระดับนโยบาย งบประมาณ และสถานศึกษา แต่จากการสำรวจของคณะวิจัยในโครงการพัฒนากรอบการสำรวจความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษาในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมรองรับกลุ่มผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ได้พบข้อจำกัดหลายประการเกี่ยวกับหลักการอารยสถาปัตยกรรมในสถานศึกษาอาชีวศึกษาที่ยังคงเป็นอุปสรรค
ดร.ธีระวุฒิ มูฮำหมัด อาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์โยธา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี หนึ่งในผู้วิจัยได้ประเมินช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมทางการศึกษา ได้ให้ความเห็นสรุปไว้หลายประเด็นดังนี้
ประเด็นแรกคือเรื่องของโครงสร้างของอาคารเดิม ไม่สอดคล้องกับหลักอารยสถาปัตยกรรม การปรับโครงสร้างเพิ่มในภายหลังจึงเป็นไปได้ยาก เช่น ระดับของถนนที่เข้าสู่พื้นโรงเรียนไม่เหมาะสมกับผู้พิการ โครงสร้างอาคารเดิมมักจะมีขั้นบันไดทางขึ้นประมาณ 3 ขั้น ก่อนถึงชั้นหนึ่ง ซึ่งทำให้การใช้งานเป็นไปได้ยากสำหรับผู้พิการ หรือในกรณีของการทำทางลาดที่มีมาตรฐาน ซึ่งไม่ควรมี Slope มากเกินไป ซึ่งหากประสงค์จะปรับโครงสร้างทางลาดให้ยาวขึ้นก็จะกระทบพื้นที่รอบข้าง ซึ่งทางสถาบันไม่มีพื้นที่เพียงพอในการทำทางลาดในส่วนนี้
ประเด็นที่สอง คือการไม่มีพื้นที่เฉพาะสำหรับผู้พิการ ทั้งในเรื่องของห้องน้ำสำหรับผู้พิการ ลิฟท์ รวมทั้งที่จอดรถสำหรับผู้พิการ บางสถาบันมีการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานในส่วนนี้อยู่บ้าง และผ่านการใช้งาน หรือมีความชำรุดทรุดโทรม แต่เมื่อไม่มีงบประมาณซ่อมแซม จึงจำเป็นต้องปล่อยทิ้งไว้
ประเด็นที่สาม คือการพิจารณานำทรัพยากรเดิมที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุง เช่น การจัดผังห้องเรียนให้สอดคล้องกับกับคนพิการ หากอาคารไหนมีความสูงจากพื้นถนนไม่มาก สามารถทำทางลาดได้ง่าย ให้ปรับใช้เป็นอาคารเรียนสำหรับผู้พิการ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องใช้วีลแชร์
ส่วนประเด็นสุดท้ายคือ การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานของสถาบันอาชีวศึกษาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเห็นว่าในระดับของผู้กำหนดนโยบาย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ ควรออกแบบอาคารสถานศึกษาให้ถูกต้องตามหลักอารยสถาปัตยกรรม โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างผู้วางแผนระดับนโยบายซึ่งเป็นพี่เลี้ยง และผู้บริหารสถานศึกษาในแต่ละพื้นที่
หากเป็นไปได้อาจมีการตั้งศูนย์เฉพาะความพิการบางประเภทในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะสมสอดคล้องกับผู้เรียนที่เป็นผู้พิการในแต่ละประเภท หรือรวมถึงปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ เช่น ทุนการศึกษา หรือหอพักสำหรับผู้พิการ

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
บทสรุป : ยังมีแสงแห่งความหวังสำหรับอารยสถาปัตยกรรมเพื่อผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันอาจยังมีหลายประเด็นที่ต้องใช้เวลาในการปรับปรุง แต่ยังมีความหวังและความเป็นไปได้ ในการผลักดันให้เยาวชนที่เป็นผู้พิการ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาแบบเรียนรวมในสถานศึกษาอาชีวศึกษา โดย ผศ.ดร. ชูชัย สุจิวรกุล ได้ทิ้งท้ายด้วยตัวอย่างของสถาบันอาชีวศึกษาที่มีความพร้อม ทำให้เห็นแนวโน้มที่ดีในการขับเคลื่อนโครงการนี้ให้สำเร็จเป็นจริง
“ภายใต้การศึกษาวิจัยครั้งนี้ นักวิจัยพบจุดเด่นในหลาย สถาบัน เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์
ซึ่งผู้บริหารของวิทยาลัยค่อนข้างให้ความสนใจ รวมถึงมีวิสัยทัศน์ค่อนข้างชัดเจนที่จะผลักดันเรื่องคนพิการ หรือทางวิทยาลัยการอาชีพที่เชียงใหม่ ซึ่งมีความตั้งใจอย่างชัดเจนที่จะทำเรื่องนี้ ทำให้มีความหวังว่าในอนาคตจะมีหลากหลายอาชีพที่จะเกิดขึ้นจากกลุ่มนักเรียนผู้มีความต้องการพิเศษเหล่านี้”
การผลักดันการศึกษาแบบเรียนรวมให้เกิดขึ้นจึงเปรียบเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงความแตกต่างหลากหลายของเยาวชนในสังคม เมื่อกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นผู้พิการสามารถยืนอยู่ได้ด้วยความสามารถของพวกเขาเอง เมื่อนั้นสังคมจะมีทรัพยากรบุคคลที่เปี่ยมคุณค่า และเราจะพัฒนาสังคมไปด้วยกันอย่างมีความหวังและยั่งยืน
อ้างอิง
[1] จำนวนประชากรที่พิการอายุ 5-30 ปี ที่ไม่เรียนหนังสือ จากสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัพเดทข้อมูลล่าสุด 29 พฤษภาคม 2568
[2] ความหมายของ Universal Design เว็บไซต์ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ.2564
[3] กฎกระทรวงที่กำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคารสำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพและคนชรา พ.ศ.2548
[4] ในที่นี่คือแบ่งความพิการตามกรอบของงานวิจัย คือ 1.ความพิการทางการเคลื่อนไหว 2. ความพิการทางการได้ยิน 3.ความพิการทางการเรียนรู้ 4.ความพิการทางสติปัญญา 5.ความพิการทางออทิสติก 6.ความพิการทางการเห็น(กลุ่มมองเห็นแบบเลือนราง)
