การเกิดขึ้นของเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา (out-of-school children) เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศและสังคมอย่างมหาศาล อีกทั้งบานปลายไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นเงาตามตัว
เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา หมายถึงใครบ้าง?
พวกเขาเหล่านี้คือ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยการศึกษาภาคบังคับ ตั้งแต่ชั้น ป.1-ม.3 มีอายุตั้งแต่ 6-14 ปี แต่ไม่เคยเข้าสู่ระบบการศึกษาเลย หรือกรณีที่เข้ามาแล้ว แต่จำต้องหลุดออกไปจากระบบกลางคันเป็นระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนด และถูกสถานศึกษาจำหน่ายชื่อออกจากทะเบียนนักเรียนตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการอย่างเป็นทางการ
รายงานขององค์การยูเนสโก (UNESCO) ได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่เกิดจากปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาไว้ถึงร้อยละ 1.7 ของ GDP ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษา จึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขไม่แพ้ปัญหาอื่นๆ เลย โดยแม้จะเป็นปัญหาเร่งด่วน แต่ก็มิได้หมายความว่าต้องมีเฉพาะแผนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือระยะสั้นเท่านั้น เพราะด้วยเหตุที่ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาเป็นปัญหาที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพื้นฐานทางสังคม ดังนั้น การแก้ปัญหาเด็กนอกระบบการศึกษาจำเป็นต้องมีความยั่งยืนด้วย
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องมีการดำเนินงานไปพร้อมๆ กันใน 2 แนวทางหลัก ดังนี้
แนวทางแรก มาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา (Preventive Measures) เป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะมีทรัพยากรอยู่แล้วครบมือ และเป็นการรับมือด้วยมาตรการเชิงป้องกัน โดยจะเป็นการอุดรูรั่วตั้งแต่เด็กอยู่ในระบบการศึกษา ผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และหน่วยงานในเครือข่ายของสถานศึกษากับครอบครัวของเด็ก เพื่อเฝ้าระวังการหลุดออกจากระบบการศึกษา และติดตามผลได้อย่างครบวงจร
หนึ่งในมาตรการป้องกันที่ได้รับการยอมรับเป็นการทั่วไปในระดับนานาชาติ คือ การจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer: CCT) ที่เน้นให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ครอบครัวของเด็ก เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่ต้องแบกรับ และทำให้เด็กหันกลับมาสนใจกับการพัฒนาการเรียนรู้ในระบบการศึกษาได้อย่างเต็มที่
ด้วยความที่มีลักษณะเป็นมาตรการเชิงป้องกัน ทำให้ทางโรงเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา และหน่วยงานในเครือข่ายของสถานศึกษา สามารถเข้าไปจัดการดูแลเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้อย่างต่อเนื่องจนจบการศึกษา
แนวทางที่สอง มาตรการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา (Corrective Measures) ขึ้นชื่อว่าการแก้ไขปัญหาย่อมต้องใช้ทรัพยากรสูงกว่าการป้องกัน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะแก้ไขปัญหาได้ไม่สำเร็จ สาเหตุเพราะเด็กไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาแล้ว การใช้งบประมาณหรือมาตรการไปสนับสนุนจึงทำได้ยาก
อย่างไรก็ดี การใช้ทรัพยากรสูงหรือความเสี่ยงที่จะเกิดประสิทธิภาพต่ำ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะปล่อยปละละเลยให้เด็กต้องหลุดออกไปอยู่นอกระบบการศึกษาต่อไป เพราะจะส่งผลร้ายต่อความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ดังนั้น หน่วยงานหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา หรือหน่วยงานในเครือข่ายของสถานศึกษา ดังที่ได้กล่าวไปบ้างแล้ว จำเป็นต้องนำแนวทางการแก้ปัญหานี้ไปปรับใช้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อพัฒนาและลดความเหลื่อมล้ำของการศึกษาไทยอย่างรอบด้าน ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือ เสริมสร้าง และพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ อันจะนำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศชาติต่อไป