ไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า ‘นักเศรษฐศาสตร์การศึกษา’ ผู้นี้ทำงานอย่างแข็งขันต่อเนื่อง เขาเดินทางไปหลายที่หลายแห่งเพื่อนำเสนอโมเดลกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของไทยให้แก่เวทีนานาชาติ กระทั่งยูเนสโกเลือกโมเดลไทยไปโปรโมตให้ทุกประเทศของเอเชียแปซิฟิกเดินตาม
การเดินทางไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น เขายังลงพื้นที่ต่อเนื่องเพื่อพบปะครูและนักเรียนในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะ ‘เด็กกลุ่มเสี่ยง’ ที่จำต้องหลุดจากการศึกษาขั้นพื้นฐานด้วยฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ถ่างออกไปกว่า 20 เท่าของเด็กในเมือง
วันนี้เราสนทนากับ ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำรวจอุปสรรค ความยากลำบาก และความหวังที่ปลายทาง ซึ่งไกรยสมั่นใจว่า “ถ้าตบมือสองข้างระหว่างครูและนักเรียน” ปลายทางที่จะนำนักเรียนหลายแสนคนซึ่งขาดโอกาสทางการศึกษาให้กลับมาตะกายดาวย่อมเป็นไปได้
ทัศนะที่ง่ายงามเริ่มต้นด้วยความเชื่อที่ว่า ‘มูลค่าที่แท้จริงของการศึกษาไม่ใช่ค่าเทอม’ แล้วคำตอบของไกรยสคืออะไร เชิญอ่านมุมมองที่ท้าทายนี้ร่วมกัน
ประสบการณ์จากเดินทางไปพบเจอครูมาทั่วประเทศเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ครูมีภาระทางเอกสารเยอะมาก แต่สิ่งที่ครูมีเหมือนกันคือความคิดที่จะทำเพื่อเด็ก โจทย์คือทำอย่างไรให้เราลงไปถึงตรงนั้นให้ได้ เราจึงพยายามเข้าไปให้ถึงใจของครู ยิ่งถ้าใจครูไปเจอสภาพของเด็กที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ แล้วความเป็นมนุษย์จะทำงานเอง
ผมเชื่อว่าความรู้สึกแบบนี้อยู่ในตัวครูทุกคน เพราะคนที่เลือกมาเป็นครู เขามีความเป็นครูอยู่ข้างในอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีโจทย์เรื่องระบบการศึกษา โจทย์เรื่องโรงเรียน ซึ่งเป็นเลเยอร์ที่ซ้อนทับๆ ในตัวเขา หน้าที่ของเราคือทำอย่างไรให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก แบบใจบริสุทธิ์ แบบใจกับใจได้เจอกัน ถ้าจิตวิญญาณความเป็นครูได้เจอกับผู้เรียนที่เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเพื่อจะได้เรียน ประสิทธิภาพจะสูงเปรี๊ยะเลย แต่ถ้าเราไปเจอครูที่เป็นนักบัญชี เช่น เอาเงินไป คุณครูทำเสร็จเอาใบเสร็จมานะครับ พอจบปั๊บ เงินนั้นจะไม่เกิดมูลค่าอันใดเลย
มีครูบางคนบอกว่ารู้สึกดีที่ได้ทำงานกับ กสศ. เพราะตอนนี้ไม่ต้องควักเนื้อแล้ว ทำให้ครูมั่นใจว่าถ้าไปถึงบ้านเด็กแล้วเขาพอจะช่วยเหลือเด็กได้บ้าง
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการเรียนในห้องเรียนและการเรียนนอกห้องเรียน มีจุดอ่อนหรือจุดแข็งแตกต่างกันอย่างไร
ในยุคนี้และในอนาคตจะต้องมีทั้งสองระบบ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กควรจะต้องได้เรียนนอกห้องเรียนด้วย เราเรียกว่า การเรียนรู้ตลอดชีวิต
ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น ครูเองก็เช่นกัน เพราะความรู้เปลี่ยนเร็ว เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ทุกๆ คลื่นที่กระทบฝั่ง ถ้าเราไม่แข็งแรงพอในการปรับตัวก็จะเหมือนตลิ่งที่พัง เพราะการเปลี่ยนแปลงในโลกยุคปัจจุบัน 5 ปี 10 ปี ก็ล้าสมัยแล้ว คนจึงต้องปรับตัวตลอดเวลา ถ้าจะปลูกฝังให้เด็กกล้าเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ต้องให้เขากล้าแบบมีความพร้อม รู้ว่าตัวเองจะต้องเตรียมตัวอย่างไร
อะไรคืออุปสรรคของการทำงานเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
ต้องเข้าใจว่าโลกเราซับซ้อน แต่ละคนแต่ละระดับก็มีเป้าหมายของตัวเอง ไม่ว่าเป้าหมายทางการเมือง เป้าหมายทางราชการ เป้าหมายส่วนบุคคล ซึ่งคนเราก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เป้าหมายของผมอยู่ที่ตัวเด็ก เป้าหมายของผมอยู่ที่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเป้าหมายเหล่านั้นต้องไม่ขัดกับหลักในการสร้างความเสมอภาค
บางเวลาเราอาจท้อบ้าง องค์กรระหว่างประเทศชวนผมมาหลายปี เขาพูดเลยว่าถ้าเราไปทำกับเขาจะได้ประโยชน์มหาศาล เขาถามว่าไปไหม ให้รายได้หลายเท่า โดยไม่ต้องใช้ทุนสักบาท เพราะมีทุนจากรัฐบาลอังกฤษ แต่ผมคิดว่าอยากทำตรงนี้มากกว่า เพียงแต่ที่ผมมาทำมาสิบกว่าปี ความพยายามต่างๆ อาจจะไม่ตรงกับเป้าหมายในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้กับเด็กเสียทั้งหมด ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพิสูจน์กันต่อไป
คิดอย่างไรกับคำว่า “เงินซื้อการศึกษาที่ดีได้”
ไม่ได้หรอก (ตอบทันที) ผมขอถามว่าคนที่ได้รับการศึกษาสูงประสบความสำเร็จทุกคนไหม คนที่ร่ำรวยที่สุดมีไหมที่ฆ่าตัวตาย เด็กที่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุด ชีวิตไม่เคยเดือดร้อนอะไรเลย แต่สุดท้ายติดยาเสพติด
ในทางกลับกันเด็กที่ไม่ได้เรียนสูง ปากกัดตีนถีบ เสื่อผืนหมอนใบ มีถมไปที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คำถามคือ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องมีการศึกษาแพงๆ เพื่อให้คนประสบความสำเร็จ มูลค่าการศึกษาจึงไม่ได้อยู่ที่ค่าเทอม แต่อยู่ที่ว่าผู้เรียนตั้งใจเอาการศึกษาไปทำอะไร
มูลค่าของการศึกษาที่แท้จริง คือเป้าหมายทางการศึกษาของแต่ละคน เมื่อบรรลุเป้าหมายนั้นแล้วลองคิดราคาออกมา นั่นแหละคือมูลค่าที่แท้จริงในการศึกษา ไม่ใช่ค่าเทอม
ขอยกตัวอย่างบางคนที่ประสบความสำเร็จ เช่น อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ อาจารย์จรัส สุวรรณเวลา บ้านท่านยากจนมาก เกือบจะไม่ได้เรียนมัธยมแล้ว แต่ท่านก็สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติในทางที่หลากหลายมาก ทุกวันนี้ท่านก็ยังสร้างอยู่ แม้กระทั่งอายุ 80 ปี มูลค่าทางการศึกษาของท่านก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด นั่นคือความคุ้มค่าทางการศึกษา
ตรงนี้ผมเลยคิดว่า ถ้าเราใช้เงินกองทุนเพื่อความเสมอภาคฯ ในการช่วยเหลือเด็กยากจน เด็กช้างเผือก 5,000 ล้านบาทต่อปี ก็จะคุ้มค่า เพราะเราจะไม่พลาดช้างเผือกแม้แต่เชือกเดียว เราจะไม่พลาดนายกรัฐมนตรีที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย เราจะไม่พลาดนักบิน แพทย์ พยาบาล ผู้นำความคิดในสังคมที่เข้าใจคนที่มีรายได้น้อย ซึ่งเขาเหล่านี้จะเป็นคนที่มาช่วยเหลือคนอื่นได้อีกมาก
ช่วงเวลาที่ผมยังทำงานนี้อยู่ ถ้าหากมีคนมารับไม้ต่อ แทนที่จะไปทำงานต่างประเทศ ไปทำงานเอกชน อันนี้ถือเป็นความคุ้มค่าของมูลค่าทางการศึกษาสำหรับผม
ผมเรียนโรงเรียนรัฐ เรียนธรรมศาสตร์ ค่าเทอมไม่ได้แพง พอไปเรียนอังกฤษก็ได้ทุน ถ้ามีคนมารับไม้ต่อ ทำให้ความเสมอภาคทางการศึกษามีมูลค่า แล้วทุกคนจะได้เห็นว่าภารกิจนี้เป็นสิ่งที่เราได้ประโยชน์ร่วมกันจริงๆ ในอนาคต
ถ้าหากประเทศไทยอยากจะก้าวไปสู่ประเทศรายได้สูง หรือเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ย่อมไม่มีวิธีอื่นนอกจากการศึกษาที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ให้คนก้าวมาสู่ฐานภาษี ก้าวมาเป็นคนที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม เราไม่สามารถขายธรรมชาติไปได้ตลอด เพราะธรรมชาติจะถูกทำลายไปทุกครั้งที่มีคนมาเที่ยว แต่ทุกๆ ครั้งที่มีคนมาใช้องค์ความรู้ ความรู้นั้นไม่ได้หายไปไหน มีแต่จะทวีคูน ถ้าคนมีการศึกษาที่ดีจะยิ่งทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม เพราะความรู้ไม่ได้หายไปไหน ทรัพยากรมนุษย์มีแต่จะเพิ่มมูลค่า
ตัวชี้วัดของความเสมอภาคคืออะไร
เราให้ทุนจากกองทุนเสมอภาคทางการศึกษาถึง 9 ปี ตั้แต่ ป.1 ถึง ม.3 พอเรียนจบเราก็ขออนุญาตติดตามว่าคุณเรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัยไหม ได้มีการเสียภาษีในปีที่เท่าไหร่ เราก็อยากจะตามแบบนั้น ว่าตั้งแต่บาทแรกจนเรียนจบ มาถึงการเสียภาษีครั้งแรก เปรียบเทียบกับรุ่นพ่อแม่มีความต่างกันแค่ไหน การศึกษาของเขากับพ่อแม่ต่างกันแค่ไหน นี่แหละคือ Social Mobility (การเลื่อนชนชั้นทางสังคม)
เราไม่หยุดวัดแน่นอน เราถึงทำงานด้วยการใช้ข้อมูล เรามีข้อมูลที่ตามเก็บเองเป็น Big Data และข้อมูลทุติยภูมิของเด็กนอกระบบ ถ้าใครไม่อยู่ในระบบเราก็จะไปตามหาจนเจอ ด้วยการคัดกรองผ่านแอพพลิเคชั่นของเรา
มีแนวทางสร้างความมั่นใจอย่างไรให้ทั้งแก่นักเรียน ผู้ปกครอง และสังคม ว่าเงินอุดหนุนนี้จะสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่กำลังเดือดร้อนที่สุดได้อย่างแท้จริง โปร่งใส่ และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ประชาชนสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของกองทุน กสศ. ซึ่งเข้าไปดูได้ถึงชั้นเรียนเลยว่า ป.1-6 มีคนได้ทุนกี่ทุน หรือเดินไปโรงเรียนข้างบ้านของท่านก็ได้ว่า มีนักเรียนได้ทุนกี่คน ได้จริงหรือเปล่า เพราะเราทำทุกอย่างเป็น Data Transparency แต่ไม่ได้ระบุข้อมูลส่วนบุคคลลงไป เพราะกฎหมายยังไม่เอื้อ ถ้าคุณอยากจะตรวจสอบก็แค่เปิดแอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนของคุณแล้วเดินไปที่โรงเรียน ดูว่าภาษีของคุณถูกนำไปใช้ช่วยเหลือเด็กในโรงเรียนเท่าไหร่ ถ้ายังไม่พอก็สามารถคลิกไปอีกหน้าหนึ่งคือ donate เข้า กสศ.
ดังที่ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีสหรัฐ เคยพูดว่า “อย่าถามว่ารัฐให้อะไรกับคุณ แต่คุณให้อะไรกับรัฐ” ในแง่นี้เราต้องคิดว่า คนไทยทุกคนควรมีส่วนร่วมในการให้ความเสมอภาคทางการศึกษาแก่เด็กไทยทุกคนได้อย่างไรอีกบ้าง