เรื่อง: อรสา ศรีดาวเรือง
ภาพ: พิศิษฐ์ บัวศิริ
เขาเปิดฉากเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงตัวน้อย ผู้ที่คนรอบกายมักมองว่าเรียนไม่เก่งนัก เธอเรียนรู้ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนร่วมชั้น ทั้งเขียนช้า อ่านช้า ทำการบ้านช้า แถมท่าทางของเธอดูไม่ค่อยจะร่าเริงสมวัย
“เธอคงไม่ฉลาด” ใครต่อใครก็คิดเช่นนั้น
กระทั่งถึงคราวเลื่อนชั้น เด็กหญิงถูกจัดให้เรียนอยู่ในห้องโหล่ หรือที่มักเรียกกันว่า ‘ห้องบ๊วย’ ในระบบการศึกษาที่แบ่งนักเรียนออกเป็นเลเยอร์ เก่ง-ปานกลาง-ไม่ฉลาด
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ อ๋อง-ศิริชัย คุ้มโห้ ผู้เป็นทั้งพ่อและเป็น ‘นักทัศนมาตร’ ใหม่หมาด ได้เริ่มกิจการร้านแว่นตาเบตเตอร์อาย (Better Eye By Optometrist) ศิริชัยไม่รอช้า เขาชวนลูกสาวมาตรวจวัดสายตาเพื่อหาความผิดปกติ – สำหรับเขาแล้ว การตรวจวัดค่าสายตาให้เด็กทุกๆ ปี เป็นเรื่องปกติที่เด็กทุกคนควรได้รับ
เด็กหญิงมีค่าสายตาเอียงล้วนสองข้าง -300 นั่นหมายความว่า ภาพที่ดวงตาของเธอมองเห็น คือภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง เธอเห็นโลกที่พร่าเลือนอยู่นานหลายปีจนกลายเป็นความปกติที่ไม่ทันสังเกต
“ผมรีบแก้ไขทันที ต้องแก้ไขเลย ซึ่งพอเราแก้ไขเสร็จแล้ว ลูกได้ใส่แว่น การเรียนพลิกเลย หน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่สอบได้ที่ 1 มาตลอด”
ผู้เป็นพ่อหยิบยกเรื่องราวมาเล่าอีกครั้งเพื่ออธิบายว่า มีเด็กจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญปัญหาเดียวกับลูกสาวของเขา และมีเด็กอีกจำนวนมหาศาลที่ไม่มีโอกาสแก้ปัญหาทางสายตาในช่วงแรกเริ่มของวัยแห่งการเรียนรู้
หรือกว่าจะรู้ ปัญหาสายตาก็ลุกลามจนสายเกินแก้
ศิริชัย คือหนึ่งในทีมนักทัศนมาตรจากสมาคมนักทัศนมาตรแห่งประเทศไทย ในการก่อร่างโครงการที่ชื่อว่า ‘I See the Future’ ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อแก้ไขปัญหาทางสายตาให้กับเด็กไทย …ไม่ใช่เพียงจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง หรือเพื่อเด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเด็กไทยทั้งประเทศที่ต้องเข้าถึงคุณภาพในการมองเห็นที่ดี ในราคาที่ฟรีและต่อเนื่อง
บทสนทนาในวันนี้ จึงว่าด้วยปัญหาทางสายตาของเด็กไทยในทัศนะของนักทัศนมาตร และการเดินทางของโครงการที่กำลังเริ่มต้นขึ้น พ่อแม่ ครู โรงเรียน และรัฐ ควรมีส่วนร่วมอย่างไรในการดูแลปัญหาสายตาที่กำลังพรากศักยภาพการมองเห็น การเรียนรู้ ตลอดจนอนาคตในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง
นักทัศนมาตรคือใคร ต่างจากจักษุแพทย์ หรือช่างตัดแว่นอย่างไร
จักษุแพทย์จะเน้นไปทางรักษาโรค ผ่าตัด ฉีดยา จ่ายยา แต่นักทัศมาตรจะดูแลเฉพาะการมองเห็นที่เกิดความผิดปกติจากค่าสายตาและระบบกล้ามเนื้อตา ส่วนช่างตัดแว่นก็จะตัดแว่นอย่างเดียว เช่น เมื่อได้ค่าสายตามา เขาก็จะเอาเลนส์สายตามาประกอบเป็นแว่นหนึ่งอัน
นักทัศนมาตรต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง
นักทัศนมาตรต้องเรียนรู้เรื่องระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น ความผิดปกติของการมองเห็น เช่น ค่าสายตา (refractive) ค่าความผิดปกติของสายตา (refractive error) ซึ่งเราจะต้องดูว่า มันผิดไปเท่าไหร่
อีกส่วนคือ เราต้องเรียนเกี่ยวกับระบบมอเตอร์ หรือระบบควบคุมกล้ามเนื้อของตา เพราะการมองเห็นถูกควบคุมด้วยตาสองข้างที่มองไปในจุดเดียวกัน ถ้าเกิดว่ากล้ามเนื้อตาทำงานผิดปกติก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น เห็นภาพซ้อน หรือหากระบบรับภาพหรือจอประสาทตา (sensory) เกิดความเสียหายก็จะทำให้สูญเสียการมองเห็น
หากนักทัศนมาตรตรวจเจอว่า ระบบรับภาพหรือจอประสาทตามีความเสียหาย เราก็ส่งต่อให้จักษุแพทย์รักษา แต่หากเราพบความผิดปกติของค่าสายตา เราสามารถแก้ไขได้ด้วยเลนส์สายตาหรือใส่แว่นนั่นเอง
ดูเหมือนว่ามีน้อยคนที่จะคุ้นกับศาสตร์ที่ชื่อว่า ทัศนมาตร
ใช่ๆ น่าจะมีคนไทยแค่ราว 1 เปอร์เซ็นต์ที่รู้จัก ตอนนี้ในประเทศไทยก็มีแค่ 3 มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขานี้
ทำไมถึงเลือกเรียนทัศนมาตร
เพราะว่าเรามีร้านแว่นเป็นของตัวเอง แล้วเราก็พบปัญหาบางอย่างที่เราแก้ไม่ได้ เช่น เราวัดทุกอย่างถูกต้องหมด แต่ลูกค้าใส่แว่นแล้วไม่สบายตา ใส่แล้วเวียนหัว เราไม่รู้ว่าเพราะอะไร เราก็เลยพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง ซึ่งหาไม่เจอ พอดีมีเพื่อนชวนไปเรียนแล้วพบว่ามีคณะเกี่ยวกับทัศนมาตรเปิดพอดี เราก็เลยลองไปเรียน
คุณทำงานในแวดวงสายตามากี่ปีแล้ว
20 ปี ยาวนานมาก (หัวเราะ)
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไล่เลียงให้ฟังหน่อยว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งที่มีปัญหาทางสายตาแล้วเข้าไม่ถึงแว่นดีๆ สักอัน จะเกิดผลกระทบกับชีวิตของเขาอย่างไร
ลองนึกถึงว่า หากตัวเองมองไม่ชัดนะ สมมุติว่าสายตาสั้น 100 นิดๆ แล้วได้นั่งเรียนอยู่หลังห้อง นั่นแปลว่ามองไม่เห็นกระดานแล้วนะ ซึ่งคุณครูไม่มีทางรู้เลยว่าใครมีความผิดปกติทางสายตา เพราะปัญหานี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พอไม่รู้ว่าเด็กสายตาไม่ดี ครูก็อาจจะจัดที่นั่งตามสะดวก เด็กทั่วไปก็ชอบนั่งหลังห้องอยู่แล้ว เพราะว่าไม่ต้องเกร็งกับคุณครู พอนั่งหลังห้อง เด็กมองเห็นไม่ชัด ความสนใจในการเรียนก็ลดลง น้องบางคนอ่านหนังสือไม่ออก เพราะมองเห็นไม่ชัด ทำให้เขาไม่ตั้งใจเรียนก็มี
ขนาดเราดูหนังที่ภาพไม่ชัด เรายังไม่อยากดูเลย หนังเรื่องไหนที่คุณภาพไม่ HD เราก็ไม่ดู เพราะมันไม่ชัด ความชัดจะทำให้สมองเรียนรู้ได้ดีขึ้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มีสมาธิต่อสิ่งที่เห็นได้มากขึ้น
การที่เด็กคนหนึ่งมองเห็นไม่ชัด แล้วถูกแปะป้ายว่า ‘เรียนไม่เก่ง’ ส่งผลระยะยาวต่อชีวิตเด็กอย่างไร
สมมุติว่าเด็กคนนั้นมองไม่ชัดแล้วไปนั่งหลังห้อง สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแรกคือ เขาจะไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เรียนไม่เก่ง อาจจะถึงขั้นอ่านหนังสือไม่ได้ บวกเลขผิด พอเขามองไม่ชัด ไม่ตั้งใจเรียน เกรดตก ผู้ใหญ่ก็มักโทษเด็ก ‘เรียนไม่เก่ง’ ‘เรียนไม่ได้เรื่อง’ ‘ออกไปทำงานเลยแล้วกัน’ ‘ไม่ต้องเรียนหรอก เรียนไปก็ไม่เก่ง’ หรือครอบครัวไหนดีหน่อยก็จะให้กำลังใจ ‘เรียนไม่เก่ง พยายามหน่อยนะลูกนะ’ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าพ่อแม่รู้ว่าลูกมีปัญหาทางสายตาแล้วแก้ไขปัญหานี้ได้ เด็กก็มีโอกาสที่จะเรียนดีขึ้นได้
ผมยกตัวอย่างจากลูกของผมเอง ตอนอนุบาลเขาเรียนไม่เก่ง เขียนช้า ทำการบ้านช้า ไม่ค่อยร่าเริงกระโดดโลดเต้น พอขึ้นอนุบาล 2 เราเปิดร้านเเว่น ปรากฏว่าลูกได้มานั่งวัดสายตากับเรา พบว่ามีค่าสายตาเอียงล้วนสองข้าง -300 ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็มีโอกาสเป็น ‘ตาขี้เกียจ’ แน่นอน
ตาขี้เกียจคืออะไร
ดวงตาของเราจะเจริญเติบโตเต็มที่ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ซึ่งแรกเกิดถึง 3 ปี จะมีกระบวนการที่เรียกว่า emmetropization ซึ่งจะทำให้ค่าสายตาที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิดหายไป กระบวนการนี้จะจัดการได้กับค่าสายตายาวและค่าสายตาเอียงเล็กน้อย
ในเด็กอายุ 3-10 ขวบ จอประสาทตาจะมีการเติบโตต่อไปโดยจะเพิ่มความละเอียดและความหนาแน่นของเซลล์รับสีมากขึ้น เพื่อที่เด็กจะสามารถมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ ชัดเหมือนคนปกติ แต่ถ้าเด็กมีค่าสายตาเอียงเยอะๆ เหมือนลูกของเราที่เอียงถึง -300 กระบวนการที่ว่ามันจัดการได้ไม่ทั้งหมด มันจะหลงเหลืออยู่
ทีนี้พอเด็กมีค่าสายตาที่ผิดปกติ ความไม่ชัดของภาพจะไม่ช่วยกระตุ้นให้จอประสาทตาเจริญเติบโตเต็มที่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเราเรียกว่าตาขี้เกียจ หรือ amblyopia มันเกิดขึ้นเพราะว่าภาพไม่ชัด ไม่กระตุ้นจอ พอเด็กโตขึ้นก็จะมองไม่ชัด ไม่ว่าจะแก้ยังไงก็จะมองไม่ชัดอยู่ดี เช่น คนปกติเห็นตัวหนังสือในระยะ 40 ฟุตได้ แต่คนที่เป็นตาขี้เกียจจะเห็นตัวหนังสือที่ชัดในระยะ 20 ฟุต คือต้องเข้าใกล้มากขึ้นครึ่งหนึ่งของคนปกติ
เมื่อรู้ว่าลูกสายตาเอียง คุณแก้ปัญหานี้อย่างไร
ผมรีบแก้ไขทันที แก้ไขด้วยเลนส์ ต้องแก้ไขเลย พอเราแก้ไขเสร็จแล้ว การเรียนพลิกเลย หน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคนที่สอบได้ที่ 1 ตลอด จากคนที่เคยถูกมองว่าเรียนไม่เก่ง เรียนอยู่ห้องท้ายๆ
ลูกบอกอะไรบ้างไหมหลังได้ใส่แว่นและเห็นภาพชัดขึ้น
เด็กไม่สามารถพูดปัญหาของเขาได้ แต่ปัญหาจะสะท้อนผ่านผลการเรียนของเขา ความตั้งใจของเขา การใช้ชีวิตของเขา เด็กบอกไม่ได้ว่าภาพที่เขาเห็นมันชัดหรือไม่ชัด เพราะเกิดมาเขาก็เห็นแบบนั้นแล้ว เขานึกว่ามันปกติ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาเห็นมันผิดปกติ เพราะตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยเห็นสิ่งที่ดีกว่านั้น นั่นคือปัญหา
นั่นแปลว่า เด็กจำนวนไม่น้อยที่กว่าจะรู้ว่าสายตาผิดปกติก็ต่อเมื่อเริ่มโตขึ้นมากแล้ว
ใช่ อย่างน้อยที่เด็กจะเริ่มอธิบายปัญหาของตัวเองได้ก็ประมาณ 9 ขวบ ซึ่งสายไปแล้ว เขาต้องสูญเสียโอกาสเยอะมาก เพราะในช่วงแรกของชีวิต คือการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานของชีวิตทั้งหมด ภาษาพื้นฐาน พูด อ่าน เขียน คิดเลขเบื้องต้น โอกาสที่ขาดหายไปของเด็กที่สายตาไม่ดีคือตรงนี้ ซึ่งสำคัญมากต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต
การที่เด็กเป็นตาขี้เกียจแล้ว มาแก้ทีหลังไม่ได้นะครับ รักษาไม่ได้ แค่บรรเทาได้เท่านั้นเอง
โครงการ I See the Future เริ่มต้นขึ้นอย่างไร
จริงๆ แล้วเป็นโครงการที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ตั้งขึ้นเพื่อดูแลสายตาของเด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจนให้มีโอกาสมองเห็นชัดเจน เพราะว่าแว่นตาราคาสูง เด็กเข้าไม่ถึง จากนั้น กสศ. ได้มาปรึกษากับสมาคมนักทัศนมาตรศาสตร์แห่งประเทศไทย ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร มีแนวทางแบบไหน นี่คือจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกัน
จากการเข้ามาร่วมทำโครงการนี้ สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาสายตาของเด็กไทยได้ไหมว่า กำลังเผชิญกับแนวโน้มเช่นไร
เท่าที่กระทรวงสาธารณสุขได้สำรวจมา ปัจจุบันเด็กไทยมีปัญหาทางสายตามากกว่า 7 หมื่นคนต่อปี ซึ่งรัฐบาลดูแลได้เพียง 3 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 6 หมื่นกว่าคนยังประสบปัญหาอยู่ ส่วนครอบครัวที่มีฐานะหน่อย เขาสามารถจัดการปัญหาได้ แต่ก็เหลือบางส่วนที่ไม่ได้ถูกจัดการ
จากตัวเลขนี้ นำมาสู่การวางแผนทำงานอย่างไร
ที่ผ่านมา เรามักเห็นภาคเอกชนเข้าไปดูแลสายตาของเด็กๆ แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด การดูแลเด็กต่างจังหวัดที่อยู่ไกลก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่านักทัศนมาตรหรือนักศึกษาสาขาทัศนมาตรที่จะไปช่วยตรวจสายตาให้เด็กนักเรียนนั้นไม่มีงบทำงานต่อเนื่อง การเดินทางยากลำบาก นั่งรถเป็นวันๆ ค่าใช้จ่ายสูง ทำให้การดูแลสายตานักเรียนเกิดขึ้นแบบกระจุกในกรุงเทพฯ ปริมณฑล อย่างสระบุรี อ่างทอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ราชบุรี เท่านั้น แค่ขยับไปแถบจันทบุรี ตราด ยังยากเลย แล้วเด็กที่เหลือล่ะ ไม่มีคนดูแล
พอ กสศ. เข้ามาหาเราแล้วบอกว่า เขาจะทำทั้งประเทศ เราเริ่มมั่นใจว่าเขาจะดำเนินการต่อเนื่อง แล้วเราก็ยินดีให้ความร่วมมือมากๆ เพราะจุดประสงค์ของสมาคมนักทัศนมาตรฯ คือเราอยากให้สายตาของเด็กทุกคนมองเห็นเป็นปกติ แล้วใช้ชีวิตได้ตามปกติ
เราจึงวางแผนในการทำคู่มือที่จะเอาไปสอนคุณครูในการคัดแยกเด็กที่มีค่าสายตาไม่ปกติ วางแผนการสอน ให้คำแนะนำ และทำในหลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบวิดีโอ อินโฟกราฟิก แล้วส่งไปให้คุณครูหรือกระทั่งไปสาธิตในพื้นที่ ซึ่งตอนนี้อยู่ในกระบวนการวางแผนครับ
จากตัวเลขจะเห็นว่า เด็กมีปัญหาสายตาในอัตราที่สูงมาก ขณะเดียวกัน ภาครัฐช่วยได้เพียง 3 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด ตัวเลขนี้กำลังบอกอะไรเรา
ภาครัฐดูแลได้น้อย เนื่องจากเวลารัฐเข้าไปทำงาน เขาไปในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข ไปบรรยายให้ครูฟังที่โรงเรียน แล้วก็ตรวจโดยช่างตัดแว่น แล้วก็ตัดแว่นแจก ปัญหาที่เราเห็นก็คือ เขามักไปตรวจช่วงต้นปี ซึ่งโรงเรียนใกล้ปิดเทอมแล้ว พอเปิดเทอมอีกที อ้าว…เด็กหาย เด็กคนที่ตรวจแล้วต้องมารับแว่น ได้ย้ายโรงเรียนหรือหลุดจากระบบไปแล้ว แว่นก็ไม่ได้ถูกส่งมอบ แล้วเราก็ยังพบข้อจำกัดด้านคนตรวจ ช่างแว่น การร่วมมือของโรงเรียนและคุณครูด้วย
นึกออกไหมว่า หน้าที่ของครูคือสอน ทำเอกสารประเมินตัวเอง ประเมินนู่นนี่ ตรวจข้อสอบ…มันเยอะมากแล้ว จะให้เขามานั่งตรวจสายตาเด็กอีก เงินเดือนก็น้อย งบประมาณการทำงานก็น้อย หรือไม่มีเลย คนทำงานก็ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแก้ปัญหา นักทัศนมาตรเองก็เต็มที่ เต็มใจ แต่เราไปฟรีทุกครั้งไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่การงานปกติ ซึ่งถ้ามีงบประมาณขึ้นมา เราโอเค ทุกคนเต็มที่ ขอค่าเดินทางบ้างนิดหน่อยก็พอ
มีองค์กรอื่นอีกบ้างไหมที่เข้าไปทำงานในโรงเรียนด้านปัญหาสายตา
มีนะ โรงเรียนในเขต อบจ. จะมีการตรวจสุขภาพนักเรียน ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้อาจรวมอยู่ในค่าเทอมหรืองบประมาณที่โรงเรียนได้รับ พอตรวจสุขภาพปุ๊บ สิ่งที่เข้าไปด้วยคือ ร้านแว่นที่จะเข้าไปตรวจวัดสายตาให้ฟรี โดยมีเงื่อนไขว่า ร้านแว่นจะขายแว่นให้เด็ก
วัดสายตาฟรี แต่ขายแว่น?
ใช่ ต้องขาย หลายโรงเรียนเป็นแบบนี้นะ โอกาสที่จะมีหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเข้าไปแจกก็มี แต่ไม่ถี่นัก เราจะพบอยู่ 3 แบบคือ หนึ่ง-วัดสายตาพร้อมๆ กับตรวจสุขภาพ สอง-วัดสายตาและแจกแว่นฟรี สาม-วัดสายตา ตรวจสุขภาพ และขายแว่น
ปัญหาทางสายตาของเด็กในเมืองและเด็กชนบท มีอัตราแตกต่างกันมากไหม
ผมเคยเจอเด็กนักเรียนในภาคใต้ ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ซึ่งเขามีค่าสายตาผิดปกติเป็นพัน เด็กอายุแค่ 5-6 ขวบเองนะ ตาเหล่ซ่อนเร้นก็มี ตาเอียงก็มี ซึ่งถ้าตรวจเจอตั้งแต่แรก รักษาง่ายมาก สิ่งที่เราพบคือ เด็กยากจนในต่างจังหวัด ถ้าเขามีปัญหาทางสายตาก็จะกลายเป็นตาขี้เกียจไปเลย เป็นปัญหาที่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เหมือนเด็กเมือง
เด็กเมืองมักมีปัญหาทางสายตาเริ่มจากเล็กน้อยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ สาเหตุส่วนมากเกิดจากการที่เขาเข้าถึงอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ โอกาสในการเป็นตาขี้เกียจก็ไม่มาก แต่เด็กต่างจังหวัดนั้น โอกาสที่เขาจะเป็นตาขี้เกียจสูงมาก
เล่าเคสที่ได้ไปเจอตามพื้นที่ต่างหวัดให้ฟังหน่อย
เคสที่เราไปเจอ มันเลยคำว่าต้องดูแลไปแล้ว เลยคำว่ารักษาได้ไปแล้ว เช่น มีเด็กคนหนึ่งอายุ 11 ขวบ ดวงตาเขาเห็นแค่ข้างเดียว อีกข้างเห็นไม่ชัด พอเราตรวจก็จะเจอปัญหาตาขี้เกียจ จากอาการตาเข เราเรียกว่า small angle strabismus พอเป็นแบบนี้ ตาข้างที่เขเล็กๆ ของเด็กมองไม่เห็น ทำยังไงก็ไม่ชัด
น้องคนนี้ถามเราว่า “แล้วหนูต้องทำยังไง” เราบอกน้องว่า “หนูไม่ต้องทำอะไร แค่อย่าไปทำอะไรที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ถ้าขี่รถมอเตอร์ไซค์ต้องใส่หมวกกันน็อคนะ ถ้ามีโอกาสใส่แว่นตาที่เป็นเลนส์นิรภัยก็จะดี” เราบอกไปแบบนั้น เพราะน้องเขาเสียตาไปแล้วข้างหนึ่ง โดยที่เราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย มองหาวิธีแล้ว ไม่มี ซึ่งกว่าน้องจะรู้ตัว อายุก็ 11 ขวบแล้ว เกินวัยที่จะรักษาได้ทัน แต่ถ้าเรารู้ปัญหานี้ตอนน้องอายุน้อยๆ 3-4 ขวบ แก้ได้เลย แม้ไม่ง่ายนัก แต่ก็แก้ได้
เป้าหมายของ I See the Future คืออะไร
เราต้องการทำให้โอกาสในการมองเห็นของเด็ก เกิดขึ้นฟรี เด็กไม่ต้องเสียเงิน เราทำตั้งแต่เด็กอายุ 3-15 ปี หรืออนุบาล 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพราะถ้าพ้นจากวัยนี้ไปแล้วพบปัญหาสายตาทีหลัง นั่นไม่เป็นไร เพราะนั่นไม่ใช่ตาขี้เกียจ แก้ไขได้ไม่ยาก แล้วโอกาสในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานชีวิตของเขามันผ่านมาแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องการหาประสบการณ์แล้ว
อุปสรรคอยู่ตรงไหนที่ทำให้พ่อแม่ ครู หรือคนที่อยู่แวดล้อมเด็ก เข้าไม่ถึงปัญหาเหล่านี้ เพราะถ้าพบปัญหาเร็ว ก็แก้ได้ง่าย
อย่างที่บอกคือ หนึ่ง-ควรมีคู่มือการตรวจวัดสายตาเบื้องต้นด้วยตัวเอง ถ้าทุกคนรู้ แล้วสามารถสกรีนเด็กๆ ในบ้านหรือในห้องเรียนด้วยตัวเองได้ก็จะดี เด็กจะหาย แต่ปัญหาคือไม่รู้ เด็กคนหนึ่งเกิดมาก็ไม่รู้ว่าตัวเองมองไม่ชัด จะรู้ก็ต่อเมื่อเริ่มโตประมาณ 8-10 ขวบ พ่อแม่ ครู ก็ไม่สามารถเห็นความผิดปกติด้วยตาเปล่าได้
สอง-ฐานะทางการเงิน แว่นอันหนึ่งราคาไม่ถูกนะ จริงๆ ราคาแว่นเริ่มต้น 990 แต่ถ้าแว่นบริจาค ราคา 500-800 ก็สามารถแก้ปัญหาได้แล้วนะ ราคานี้สามารถซัพพอร์ตได้ทั้งแว่น ทั้งเลนส์ แต่เงินจำนวนนี้ก็มากสำหรับคนที่ไม่มีเงิน
สาม-คนที่ไม่ค่อยมีเงิน หรือแต่งตัวไม่ได้ดีมากนัก เขามักคิดว่าตัวเองดูสกปรก ทำให้เขาไม่กล้าเข้าร้านแว่น ไม่กล้าเลย เรื่องนี้เราประสบด้วยตัวเองเลย เขาไม่กล้าเข้ามาทั้งๆ ที่ถ้าเข้ามา เราช่วยได้หมดอยู่แล้ว แต่เขาไม่กล้าพาลูกเข้าเพราะคิดว่าตัวเองแต่งตัวไม่ดีก็มี ซึ่งถ้าเราสามารถเข้าไปหาพวกเขาในพื้นที่ของเขาได้ เขาก็ไม่ต้องมาร้านแว่น
ตอนนี้ I See the Future เดินทางมาถึงจุดไหนแล้ว
เราเริ่มแล้ว เริ่มด้วยการพูดคุยและวางแผนงาน วันที่ 2 มีนาคม 2564 คือครั้งแรกที่เราจะลงพื้นที่ เราจะไปโรงเรียนที่อําเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ครั้งที่ 2 เราจะไปที่จังหวัดลำพูน จริงๆ แผนนี้กำหนดไว้เมื่อต้นเดือนมกราคม บังเอิญ COVID-19 ระบาดรอบสอง ก็เลยต้องเลื่อนหมดเลย เพราะคนกรุงเทพฯ ถูกบล็อก โรงเรียนต่างจังหวัดในกลุ่มเสี่ยงก็หยุดหมด เราจึงต้องเลื่อนออกไป
ทำไมต้องเป็นสองพื้นที่นี้
สุพรรณบุรีเป็นพื้นที่นำร่องของโครงการ ซึ่งเราจะมีการศึกษาข้อมูล วางแผน และปรับแก้กระบวนการทำงาน เพื่อสร้างโมเดลต้นแบบของทุกที่ทั่วประเทศ เราเริ่มต้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีเพราะปริมาณของนักเรียนกำลังพอเหมาะในการดำเนินการ ไม่ไกลมาก แล้วเราก็ดูว่าจะเข้าไปจัดการอย่างไร วางแผนการตรวจแบบไหน ได้ผลยังไงเมื่อจ่ายแว่นแล้ว เราเริ่มต้นที่ 100 คนก่อน เพราะเมื่อจำนวนน้อย เราดูแลง่าย ทำการศึกษาได้ง่าย หากโมเดลนี้ได้ผลก็จะขยายต่อไปทั่วประเทศ
คาดว่าจะได้ไปเห็นอะไรบ้าง
จากประสบการณ์ เราคาดว่าจะเจอเด็กที่มีปัญหาสายตาไม่เยอะมาก น่าจะราว 15-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นจาก 100 คน ส่วนการแก้ไขปัญหาเราจะเน้นไปที่การทำอย่างต่อเนื่อง เช่น ปีนี้เราแจกแว่นแล้ว ปีหน้าเราต้องกลับมาตรวจอีกครั้ง เด็กกลุ่มเดิมนั่นแหละ แล้วแจกใหม่ เพราะค่าสายตาเด็กจะต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว เด็กๆ จะต้องได้รับการตรวจทุกปีอย่างต่อเนื่อง ความต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญ
ปัญหาทางสายตาของเด็กไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มอย่างไร
เพิ่มขึ้น หากย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เด็กห้องหนึ่ง 30 คน มีปัญหาทางสายตาไม่เกิน 5 คน แต่เดี๋ยวนี้คนที่ไม่มีปัญหา มีไม่เกิน 5 คนนะ มันกลับกันเลย เรียกได้ว่าเด็กมีปัญหาสายตาเพิ่มขึ้นราว 5 เท่าตัว
20 ปีในการทำงานด้านสายตา ในมุมองของคุณ สังคมควรตื่นตัวกับปัญหานี้อย่างไร
ประสิทธิภาพการมองเห็นที่ชัด จะช่วยให้คนทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขับรถก็เห็นชัดขึ้น การตัดสินใจ จะเลี้ยว จะเบรก จะหยุด ก็ง่ายขึ้น แต่ถ้าคุณมองไม่ชัด ทุกสิ่งทุกอย่างจะทำได้อย่างยากลำบาก ผมอยากให้คิดว่า การมองเห็นอย่างมีคุณภาพ คือโอกาสในการใช้ชีวิต
ปัญหาสายตา คือความเหลื่อมล้ำมากๆ เพราะเด็กในเมือง ถ้าสายตาไม่ดี มองไม่ชัด ก็ไปตัดแว่น วันรุ่งขึ้นชัดเหมือนเดิม เรียนเก่งเหมือนเดิม แต่สำหรับน้องๆ ที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงความชัดของสายตา ก็จะทำให้เขาสนใจเรียนน้อยลง พอเรียนไม่เก่ง ทุกคนก็จะบอกว่า ออกจากโรงเรียนไปทำงานเลยแล้วกัน ไม่ต้องเรียนหรอก เสียเวลา นี่คือโอกาสที่เสียไปของเด็กคนหนึ่ง