ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นหนึ่งในภัยคุกคามเด็กและเยาวชนที่อาศัยช่องโหว่ของความเป็นเด็กที่ยังไม่สามารถปกป้องตนเองจากขบวนการแสวงประโยชน์ในโลกของผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่งจึงตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภัยคุกคามนี้ตลอดเวลา ถึงแม้จะมีหน่วยงานและกฎหมายที่พยายามแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ในเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ แต่ก็ยังไม่อาจคุ้มครองดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง ขณะที่อีกเครื่องมือสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ ‘การศึกษา’
การศึกษาในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเพียงเรื่องของการให้ความรู้ทางวิชาการ เพราะเด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงของขบวนการค้ามนุษย์เป็นเด็กที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากเป็นทุนเดิม จำเป็นต้องอาศัยหลักสูตรเฉพาะที่ทำให้เด็กมีทักษะในการเอาตัวรอดมากกว่าเด็กกลุ่มอื่นๆ ดังเช่นที่ ‘ศูนย์พัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหญิงและชุมชน’ ก่อตั้งโดย สมภพ จันทรากา ได้พยายามให้ความช่วยเหลือแก่เด็กผู้หญิงในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ให้รอดพ้นจากขบวนการค้ามนุษย์ให้ได้มากที่สุด
ครูนุ่ม-สมพร เข็มเพ็ชร ผู้อำนวยการฝ่ายงานบริหารทั่วไปของศูนย์ฯ เล่าว่า แต่เดิมศูนย์ฯ แห่งนี้ใช้ชื่อว่า ‘โครงการกองทุนการศึกษาเพื่อลูกหญิง’ ที่เกิดจากความตั้งใจของ อาจารย์สมภพ จันทรากา นักวิจัยอิสระและ คุณมิชิโฮะ อินากากิเพื่อนนักเขียนชาวญี่ปุ่นที่ต้องการช่วยเหลือเด็กหญิงกลุ่มแรก 19 คน ให้ได้รับการศึกษาต่อเนื่องหลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532
“ก่อนหน้านี้อาจารย์สมภพกับเพื่อนเป็นนักวิจัยอิสระที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กและผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของการค้าประเวณี หลังจากเก็บข้อมูลแล้วทำให้ทราบว่าเด็กและผู้หญิงส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ทางภาคเหนือ อย่างเช่นอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จึงเริ่มให้การช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่เด็กหญิง 19 คน โดยเริ่มจากกลุ่มเด็กที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วไม่มีโอกาสได้เรียนต่อ ซึ่งจะถูกครอบครัวหรือนายหน้าพาไปทำงานในอาชีพที่ไม่พึงประสงค์ ตามเมืองใหญ่ๆ หรือตามพื้นที่ที่นายหน้าตกลงมัดจำไว้กับผู้ปกครองหรือพ่อแม่ของเด็ก”
ครูนุ่มชี้ให้เห็นว่า ความยากจนเป็นปัจจัยหลักที่บีบให้ครอบครัวของเด็กหญิงเหล่านั้นต้องส่งลูกเข้าสู่วงจรการค้าประเวณีเพื่อหาเงินจุนเจือครอบครัว ประกอบกับการไม่ได้รับการศึกษาและขาดข้อมูลที่เพียงพอ เด็กจึงไม่มีทางเลือกหรือขาดทักษะในการปฏิเสธเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ดังกล่าว การศึกษาจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทางศูนย์ฯ เล็งเห็นว่าสามารถช่วยให้เด็กเหล่านี้รอดพ้นจากภัยคุกคามได้
“เมื่ออยู่ที่ศูนย์ฯ เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องปัญหาสังคมผ่านสื่อต่างๆ เช่น การใช้แรงงานเด็ก การติดเชื้อ HIV/เอดส์ สุขภาพอนามัยทั้งของเด็กและครอบครัว รวมถึงเรื่องการค้าประเวณี เด็กทุกคนจะนำปัญหาของตนเองมาเล่าแลกเปลี่ยนกัน เช่น บางคนถูกพ่อแม่บังคับให้ไปขอทานแล้วถูกยึดเงินที่ขอทานไปจ่ายค่ายาเสพติด บางคนถูกนำไปเป็นเด็กรับจ้างล้างจานในร้านอาหาร แล้วพ่อก็ไปเบิกค่าแรงล่วงหน้ามาก่อน เด็กจึงต้องทำงานใช้หนี้โดยไม่ได้รับค่าจ้าง เป็นการแสวงประโยชน์จากตัวเด็กโดยคนที่รับประโยชน์คือ พ่อแม่หรือผู้ปกครองเอง
“ดังนั้นเด็กจึงจำเป็นต้องได้รับการฝึกทักษะการป้องกันตัวเองเวลาถูกบังคับให้ออกไปทำงาน เพื่อให้เด็กมีทักษะการปฏิเสธว่าไปไม่ได้ เพราะต้องเรียนหนังสือให้จบก่อน เพื่อที่จะมีโอกาสทำงานที่รายได้เยอะกว่านี้แล้วเลี้ยงดูครอบครัวได้ เมื่อได้เรียนหนังสือเขาก็จะโตขึ้น รู้จักคิดวิเคราะห์ และรู้ว่างานที่จะถูกพ่อแม่พาไปแสวงประโยชน์นั้นคืออะไร”
ในขณะเดียวกัน ครูนุ่มบอกว่า ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นที่สุดคือ ‘ภาษาไทย’ เพราะการเป็นเด็กไร้สัญชาติ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คือโจทย์ใหญ่อันเป็นภารกิจสำคัญของศูนย์ฯ ควบคู่ไปกับการสอนให้เด็กๆ เรียนรู้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อตัวเอง
“กลุ่มเด็กของเราเป็นเด็กเปราะบางพิเศษ ก็คือไร้สัญชาติ ไม่มีความรู้ภาษาไทย จึงต้องเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้ก่อน เมื่อมีความรู้ภาษาไทยแล้วจึงจะไปเสริมวิชาอื่นๆ ได้ เราจะเน้นภาษาไทย คณิตศาสตร์ อังกฤษ หลังจากมีความรู้พื้นฐานเหล่านี้แล้วค่อยเพิ่มวิทยาศาสตร์ สังคม คอมพิวเตอร์ และการพัฒนาทักษะชีวิตด้านต่างๆ
“ถ้าเด็กอ่านออกเขียนได้ เขาก็จะเข้าใจเรื่องการป้องกันตัวเอง เมื่อได้รับการติดอาวุธทางความคิด ทำให้เขารู้ว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร เช่น เราจะสอนเด็กจำเบอร์โทรศัพท์ ว่าเบอร์ไหนที่เขาสามารถโทรขอความช่วยเหลือได้ 24 ชั่วโมง และสถานการณ์แบบไหนที่จะเป็นอันตรายสำหรับตัวเขา
“ปัจจุบันมีเด็กถูกล่อลวงผ่านทางแอพพลิเคชั่น เฟซบุ๊ค ไลน์ และช่องทางต่างๆ ค่อนข้างเยอะ เราพยายามให้ความรู้เรื่องการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย เพราะทุกวันนี้เด็กเข้าถึงได้ง่าย การถูกล่อลวงหรือชักจูงก็ง่ายตามไปด้วย ถ้าเด็กไม่มีทักษะและความรู้ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อได้”
นอกจากการช่วยเหลือตัวเองของเด็กแล้ว สิ่งหนึ่งที่ครูนุ่มมองว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือ การส่งต่อประสบการณ์และความช่วยเหลือไปสู่เด็กรุ่นต่อไป
“เมื่อตัวเขาเองได้เรียนรู้แล้ว ก็อยากให้รุ่นน้องๆ ปลอดภัยเหมือนกับเขา ก็จะเป็นการส่งต่อและเป็นการป้องกันรุ่นต่อรุ่น แต่อาจไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะบางคนไม่มีทักษะไปต่อสู้กับนายหน้าหรือผู้ปกครองที่ค้านหัวชนฝา ซึ่งเรื่องนี้อาจต้องอาศัยบทบาทของเครือข่ายที่เป็นองค์กรและผู้นำชุมชนที่ต้องร่วมกันป้องกันเด็กกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ อย่างน้อยเขาก็เป็นตัวเชื่อมหรือเป็นคนให้ข้อมูลกับทางองค์กรได้ว่าใครจะถูกนำตัวไปทำงาน”
สุดท้าย ครูนุ่มได้เน้นย้ำถึงความสำคัญเรื่องการศึกษา ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จำเป็นที่สุดสำหรับกลุ่มเด็กเปราะบางที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากภัยคุกคามมากกว่าเด็กทั่วไป
“การศึกษาและการพัฒนาทักษะคุณภาพชีวิตเป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะถ้าอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ดังนั้น ถ้าเขามีความรู้ เขาจะสามารถป้องกันตนเองได้จากปัญหาต่างๆ ที่อยู่รอบตัว และสามารถต่อยอดพัฒนาชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่สูงขึ้น งานที่ปลอดภัย รวมไปถึงการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม”