แม้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสันติภาพ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพยุโรปสามารถออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนประวัติศาสตร์สำหรับเด็กรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งๆ ที่ภูมิภาคเดียวกันนี้เคยตกอยู่ในไฟสงครามระหว่างรัฐมาตลอดหลายร้อยปี
การผสานรอยร้าวจากประวัติศาสตร์บาดแผล กลายเป็นแบบอย่างให้แก่หลายภูมิภาคทั่วโลกนำไปใช้ อาทิ การเปิดเผยข้อเท็จจริง และกล่าวขอโทษซึ่งกันและกัน ทิ้งให้ความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน ส่วนคนรุ่นใหม่ทำหน้าที่เดินหน้าไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้นมา ความขัดแย้งทางเชื้อชาติกลับมาเป็นประเด็นร้อน ส่งผลถึงห้องเรียนของนักเรียนในยุโรปด้วย และยังทำให้ครูต้องเผชิญปัญหาการสอนวิชาประวัติศาสตร์ให้แก่เด็กในห้องเรียนที่มีพื้นฐานของชีวิตที่หลากหลาย
Psyche นิตยสารออนไลน์ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา ปรัชญา และศิลปะ ได้เผยแพร่บทความที่ชี้ให้เห็นว่า ครูสอนประวัติศาสตร์ในปัจจุบันต้องไม่ทำหน้าที่เป็นเพียงนักการศึกษาเท่านั้น หากแต่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์บาดแผลด้วย ซึ่งเรียกร้องคุณสมบัติที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น ยิ่งในประเทศที่ผ่านความรุนแรงทางเชื้อชาติ อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ด้วยแล้ว บทบาทของครูจึงกลายเป็นเงื่อนไขที่สำคัญ
กรณีสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 กระตุกเตือนสังคมให้หันมาสนใจประเด็นนี้ เมื่อครูวิชาประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซามูเอล ปาตี อายุ 47 ปี ถูกคนร้ายเชื้อสายเชเชน สังหารและตัดศีรษะ จากการสอบสวนพบว่า สาเหตุเริ่มต้นในชั้นเรียนก่อนเกิดเหตุ 10 วัน เมื่อครูปาตีหยิบยกประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก ว่าด้วยกรณีภาพวาดการ์ตูนล้อเลียนพระมูฮัมหมัดของนิตยสาร ชาร์ลี เอบโด (Charlie Hebdo) มาให้นักเรียนแสดงความเห็น
แต่ก่อนที่ครูจะโชว์ภาพการ์ตูนพิพาทดังกล่าว ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุก่อการร้ายอย่างร้ายแรงในฝรั่งเศสเมื่อปี 2558 ครูได้ขอให้นักเรียนที่เป็นมุสลิมออกจากห้องไปก่อน เพราะไม่อยากให้กระทบกระเทือนจิตใจ ทว่ามีเด็กหญิงมุสลิมอายุ 13 ปี ที่ยังนั่งอยู่ต่อ จึงได้เห็นภาพการ์ตูนล้อเลียนดังกล่าว จากนั้นเด็กจึงกลับบ้านไปฟ้องพ่อแม่ว่าครูนำภาพพิพาทนี้มาแสดงในชั้นเรียน นี่จึงเป็นสาเหตุที่พ่อมาที่โรงเรียนและดักทำร้ายครู
หลังเหตุการณ์นี้ ครูบางคนเริ่มถกเถียงถึงหลักการแยกศาสนาออกจากรัฐ เส้นแบ่งของเสรีภาพในการแสดงออก แม้กระทั่งการที่ครูบางคนมีเพื่อนเป็นชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากต้องเริ่มเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น เมื่อหวนคิดถึงประวัติศาสตร์การรุกรานประเทศในกลุ่มแอฟริกาเหนือในอดีตของฝรั่งเศส เส้นแบ่งที่ทำให้ครูชั่งน้ำหนักได้ยากขึ้นนี้ท้าทายคุณค่าหลักในการเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศส ทั้งประเด็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติ โรคเกลียดกลัวอิสลาม
ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ในงานวิจัยของครูประวัติศาสตร์คนหนึ่งชี้ว่า ครูหลายคนเผชิญความเศร้า ความสิ้นหวัง และความกังวลในการสอนประวัติศาสตร์มากขึ้น นับตั้งแต่เหตุการณ์สังหารครูปาตี เพราะที่ผ่านมาวิธีการที่ครูปาตีทำสามารถใช้สอนได้ในห้องเรียน
คำให้สัมภาษณ์ของครูจากเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีพบว่า เขาต้องปิดบังข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์บางอย่าง ขณะที่ครูที่เอสโตเนียเผชิญความเสี่ยง หลังจากอธิบายอิทธิพลของลัทธิสตาลินในยุคหลังโซเวียต เพราะนักเรียนเชื้อสายจอร์เจียบางคนแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ครูสวีเดนถูกนักเรียนเชื้อสายอาหรับปฏิเสธคำอธิบายกรณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฯลฯ
เหล่านี้เป็นเพียงบางตัวอย่างจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะที่ผ่านมาไม่มีการออกแบบการเรียนรู้ประวัติศาสตร์บาดแผลอย่างเป็นระบบ หรือเรียนรู้ประเด็นที่อ่อนไหว บางประเทศเลือกที่จะปกปิดประวัติศาสตร์บางช่วงบางตอน โดยไม่อภิปรายหรือเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์บาดแผลอย่างตรงไปตรงมา กรณีการสังหารครูปาตีจึงเสมือนการเผยปัญหาเสรีภาพในการแสดงออกที่ซุกอยู่ใต้พรมมานานแสนนาน
บทความนี้ทิ้งท้ายด้วยการเรียกร้องบทบาทของครูไว้อย่างน่าสนใจว่า ความงดงามของการศึกษาคือพลังของการเปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นการเยียวยา เปลี่ยนจากการกีดกันเป็นการนับรวม เสรีภาพในการแสดงออกของยุโรปจะไม่มีความหมาย หากไม่มีการอภิปรายประวัติศาสตร์บาดแผลที่แม้แต่เราก็อาจจะไม่เคยคำนึงถึงมาก่อน
อ้างอิง
History teachers are no longer just educators but trauma specialists