ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนกำลังพัฒนาความซับซ้อนและเพิ่มความถี่ขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเพราะการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างผิดวิธี เช่น การเผยแพร่คลิปทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงการกลั่นแกลงรังแกทางไซเบอร์ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเยาวชนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก รวมไปถึงขวัญกำลังใจของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษา จนเกิดความรู้สึกว่าโรงเรียนไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยประหนึ่งบ้านหลังที่สองอีกต่อไป
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้มีหลายโครงการได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับปัญหาดังกล่าว โครงการ ‘เพื่อนช่วยเพื่อน’ ก็เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ทำแล้วได้ผลชะงัด
โครงการดังกล่าวถูกพูดถึงในงานศึกษาชื่อ กระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อลดความรุนแรงในโรงเรียน ศึกษาโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดย สุลักษณา สุวคนธ์ (2558) หนึ่งในวิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิพิทักษ์สิทธิเด็ก กลุ่มอาจารย์ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันวางแผนและตัดสินใจกับนักเรียนภายในโรงเรียน เพื่อการเข้าถึงปัญหาและแก้ไขด้วยความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
งานศึกษานี้ได้ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม โดยใช้แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและจิตวิทยาวัยรุ่น ซึ่งการดำเนินโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับห้องเรียน ที่ใช้กิจกรรมเพิ่มความแน่นแฟ้นของสมาชิกภายในห้องเรียนด้วยชั่วโมงโฮมรูม และระดับโรงเรียน ซึ่งเป็นการวางแผนของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อนในการดำเนินกิจกรรม เช่น การแสดงละครโรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัญหาความรุนแรงและให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา เป็นต้น
โครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้ายที่เกินเลยไปนัก เพราะจากงานศึกษาของ สมพงษ์ จิตระดับ และคณะ (2552) ที่เก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจากเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 3,152 คน พบข้อมูลที่น่าเป็นห่วงว่า นักเรียนจำนวนถึงร้อยละ 18.39 ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากเพื่อนในโรงเรียน ร้อยละ 15.77 มีปัญหาด้านสารเสพติด และอีกร้อยละ 29.73 ของจำนวนทั้งหมดมีการพกพาอาวุธอันตรายอย่างมีดและดาบอีกด้วย ซึ่งส่งผลไปถึงจำนวนสถิติอีกประการหนึ่งก็คือ มีเด็กนักเรียนในโรงเรียนจำนวนถึงร้อยละ 29.73 ถูกขู่กรรโชกทรัพย์โดยคนในโรงเรียน
ตัวเลขทั้งหมดนี้จึงไม่ใช่ตัวเลขทางสถิติธรรมดา แต่หมายถึงความไม่ปลอดภัยของชีวิตนักเรียนหลายร้อยคนจากกลุ่มตัวอย่าง รวมไปถึงชีวิตนักเรียนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเหนือการสำรวจ
เพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนคู่คิด มิตรคู่โรงเรียน
โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ได้นำกลุ่มนักเรียนเข้ารับการอบรมกับมูลนิธิโครงการศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เพื่อนำไปปรับใช้ในห้องเรียนของแต่ละคน ก่อนจะขยายผลไปยังระดับโรงเรียน
กลุ่มเพื่อนที่ปรึกษานี้มีจุดเด่นอยู่ที่การได้รับความไว้วางใจจากสังคมเพื่อนด้วยกันที่คัดเลือกให้มาทำหน้าที่ เพราะมีความใกล้ชิดกับคนวัยเดียวกัน มีความเข้าใจปัญหา และสามารถแลกเปลี่ยนหรือหาวิธีการแก้ไขปัญหาร่วมกันกับเพื่อนนักเรียนได้ แต่ขณะเดียวกันก็ยังดำรงไว้ซึ่งความหลากหลายเอาไว้ในกลุ่ม ดังเช่น ในห้องเรียนของโรงเรียนสตรีแห่งหนึ่งที่ผู้ศึกษาได้ลงไปทำการศึกษา มีนักเรียนแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ซึ่งจะทำการคัดเลือกสมาชิกกลุ่มละ 1 คน โดยมุ่งให้แต่ละกลุ่มมองเห็นความสำคัญของปัญหาที่นักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัว
แม้หัวใจสำคัญของโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนจะอยู่ที่กลุ่มนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการเป็นหลัก แต่การจัดตั้งองค์กรในครั้งแรกคงเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดการสนับสนุนจากครูและโรงเรียน โดยโครงการนี้ต้องการให้ตัวครูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบความปลอดภัยในโรงเรียน หน้าที่หลักของครูคือ การส่งเสริมกระบวนการคิดให้กับนักเรียน (cognitive development) ให้นักเรียนมองเห็นคุณค่าในตนเอง (self esteem) และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การพยายามปลุกสร้างสำนึกในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (empathy) สามสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การดำเนินงานโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนในระยะแรกสามารถก่อตั้งขึ้นได้อย่างประสบความสำเร็จ
มาถึงจุดนี้ครูหลายท่านคงอยากนำแม่แบบของโครงการดังกล่าวมาทดลองปรับใช้กับโรงเรียนของตนเองบ้าง เพื่อสร้างโรงเรียนที่ปลอดภัยและมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทั้งระหว่างนักเรียนกับนักเรียน และครูกับนักเรียน สิ่งเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องสร้างระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้สามารถกำเนิดขึ้นมาได้ กรมสามัญศึกษา อธิบายถึงองค์ประกอบของการสร้างระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเอาไว้ในปี พ.ศ. 2544 ว่ามีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ
- การรู้จักนักเรียนในระดับบุคคล
การรู้จักนักเรียนในระดับบุคคลจะช่วยให้ครูสามารถประเมินข้อมูลในการบริหารและป้องกันสภาวะความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงในห้องเรียนถูก ข้อมูลที่ควรจะทราบเกี่ยวกับนักเรียนในแต่ละบุคคลนั้นยังรวมไปถึงข้อมูลด้านความสามารถ ข้อมูลด้านสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ พฤติกรรมของครอบครัวและฐานะทางเศรษฐกิจ หรือด้านอื่นๆ ที่ครูเห็นว่ามีความจำเป็นสำหรับการคุ้มครองปกป้องนักเรียน
- การคัดกรองนักเรียน
การคัดกรองนักเรียนในที่นี้ คือการคัดกรองข้อมูลของนักเรียนแต่ละคนออกมาเพื่อทำการแบ่งประเภท เป้าหมายคือการระบุให้ได้ว่านักเรียนกลุ่มใดเป็นนักเรียนที่จะไม่มีโอกาสเสี่ยงต่อการมีปัญหาด้านพฤติกรรมมาก กับนักเรียนกลุ่มที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสี่ยงในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ในการคัดกรองข้อมูล ครูต้องเก็บเป็นความลับจากทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง เนื่องจากอาจจะนำมาซึ่งปัญหาความไม่พอใจกับการจัดประเภทตนเองหรือบุตรหลานตนเองให้ถูกมองเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ
- การส่งเสริมนักเรียน
ครูจำเป็นต้องส่งเสริมทั้งนักเรียนในกลุ่มแรกและกลุ่มที่สองจากข้อข้างตน เพื่อให้มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นให้ได้ ปัจจัยสำคัญคือการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเองของนักเรียน เนื่องจากเมื่อนักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในตนเองแล้วก็จะเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้นักเรียนมีสภาวะเสี่ยงต่อการมีปัญหาด้านพฤติกรรม
- การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน
การพัฒนานักเรียนทั้งสองกลุ่มข้างต้น ครูจำเป็นที่จะต้องศึกษาและเข้าใจสภาพปัญหานักเรียนอย่างแท้จริง พร้อมคิดหาวิธีร่วมกันแก้ไขปัญหาตามบริบทของนักเรียนแต่ละคน การแก้ไขปัญหาแต่ละครั้งควรจดบันทึกเอาไว้ด้วยว่าได้ดำเนินการใดไปแล้วบ้างเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาอาจจะผ่านการจัดกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมในห้องเรียน กิจกรรมเสริมสร้างหลักสูตร และหนึ่งในตัวอย่างของหลักการนี้คือ โครงการเพื่อนช่วยเพื่อนนั่นเอง
- การส่งต่อนักเรียน
หลักการนี้จะกระทำเมื่อครูพบว่า การแก้ไขปัญหาโดยครูเพียงคนเดียวไม่สามารถทำให้เกิดพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ แต่ครูจะต้องไม่ยอมแพ้ในการแก้ไขปัญหาและพยายามที่จะส่งต่อนักเรียนไปให้ถึงมือของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งการส่งต่อไปยังครูท่านอื่นที่มีความเชี่ยวชาญ จนถึงการส่งต่อไปยังบุคคลภายนอก อย่างแพทย์ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์
กระบวนการดังกล่าวจึงเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่จะช่วยโหมให้ไฟด้านการพัฒนาและป้องกันความรุนแรงภายในโรงเรียนสามารถเกิดขึ้นได้ โดยครูก็จำเป็นที่จะต้องมองเห็นความสำคัญของตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศภายในโรงเรียนที่ปลอดภัย และทำให้กลุ่มนักเรียนเพื่อนช่วยเพื่อนสามารถดำเนินกิจกรรมต่อไปได้อย่างยั่งยืน
หยุดวงจรความรุนแรงได้ เมื่อนักเรียนและครูร่วมมือกัน
ปัจจัยสำคัญของโครงการเพื่อนช่วยเพื่อน ส่วนหนึ่งอยู่ที่การเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน รวมถึงไม่มองว่าปัญหาของผู้อื่นเป็นปัญหาไกลตัวที่ตนเองไม่เกี่ยวข้อง การมองวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงทำให้ทุกบุคลากรในโรงเรียนและภาคการศึกษาจำเป็นที่จะต้องเข้ามามีส่วนร่วม
กลุ่มกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน ทำงานในลักษณะของการแก้ไขปัญหาโดยคนวัยเดียวกัน ขณะที่การแก้ไขปัญหาของครูคือ การส่งเสริมกลุ่มกิจกรรมดังกล่าว สร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยและไม่เพิกเฉยต่อนักเรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ รวมถึงไม่ทอดทิ้งนักเรียนที่ถูกมองว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงด้านพฤติกรรมหรือการใช้ความรุนแรง เนื่องจากการละเลยต่อปัญหาก็ถูกจัดได้ว่าเป็นความรุนแรงรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
วงล้อแห่งความรุนแรง แก้ไขได้ด้วยการไม่ปล่อยปละละเลย
“การช่วยเหลือแบบเพื่อนช่วยเพื่อน ทําให้เกิดความสุขทั้งผู้ช่วยเหลือและผู้รับความช่วยเหลือ บางคนก็หายจากโรค ถึงโรคไม่หาย ก็มีความสุขมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งคู่”
คำกล่าวของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี กล่าวเอาไว้ในปี พ.ศ. 2549 โดยระบุถึงแนวคิดเพื่อนช่วยเพื่อนที่สามารถนำมาปรับใช้ในวงการด้านการแพทย์และการสาธารณสุขได้
การใช้แนวคิดเพื่อนช่วยเพื่อนในระยะเริ่มต้น จึงเป็นการทำให้ผู้ถูกช่วยเหลือมีกำลังใจและมีความหวัง ขณะที่ผู้ช่วยเหลือเองก็จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ดังนั้นเมื่อถูกนำมาปรับใช้กับภาคการศึกษาจึงเป็นการแก้ไขจุดปัญหาหลัก (pain point) ทำให้นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง รวมไปถึงครูผู้ดูแลกลุ่มกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนก็จะได้รับประโยชน์ในการเรียนรู้กระบวนการพัฒนาแก้ไขปัญหาความรุนแรงในรูปแบบใหม่ๆ จากนักเรียนที่คิดค้นขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านการวางแผนและการตัดสินใจของนักเรียนเอง
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อนนี้ก็ยังดูมีจุดอ่อนประการหนึ่งคือ อาจจะได้ผลในระดับห้องเรียนหรือโรงเรียน แต่การดำเนินการในระดับโรงเรียนต่อโรงเรียน หรือการพัฒนาเครือข่ายเพื่อนช่วยเพื่อนระหว่างโรงเรียนนั้นดูจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในแต่ละโรงเรียนและแต่ละสังคมนั้นต้องอาศัยความเข้าใจสภาพปัญหาในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง ซึ่งก็คงจะไม่มีใครเข้าใจได้ดีกว่านักเรียนหรือครูในพื้นที่นั้นๆ การพยายามจะแก้ไขปัญหาความรุนแรงในแต่ละพื้นที่จึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินการจากภายใน โจทย์ข้อนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่นักการศึกษาในปัจจุบันต้องขบคิดกันต่อไป เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษาระดับมหภาคเกิดขึ้นให้ได้
ถึงแม้ปัญหาความรุนแรงภายในสถานศึกษาจะยิ่งทวีความหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป แต่โครงการเพื่อนช่วยเพื่อนก็เป็นหนึ่งในหลายร้อยหลายพันวิธีที่ถูกคิดค้นขึ้น ดังนั้นความหนักแน่นของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการมุ่งแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างไม่ย่อท้อจึงยังคงจำเป็นอยู่ และความหวังของการมีสถานศึกษาที่ปลอดภัย เหมาะกับการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีนั้นก็ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ
อ้างอิง
สุลักษณา สุวคนธ์. (2558). กระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อลดความรุนแรงในโรงเรียน ศึกษาโรงเรียนสตรีแหงหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร. สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.