สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) โดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อ “แนวทางการเทียบโอนประสบการณ์ในบริบทของการศึกษาที่ยืดหยุ่น” ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพฯ เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาระบบนิเวศการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในการจัดงานครั้งนี้ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ รศ.ดร.นพพร ลีปรีชานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ นายภฤศ วรรัตนวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) ร่วมกล่าวเปิดงานและชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน โดยมุ่งเน้นให้เกิดการระดมสมองจากภาคีเครือข่ายทั้งภาคนโยบาย กองทุนภาครัฐและหน่วยงานภาคปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันออกแบบแนวทางการเชื่อมโยงการเรียนรู้ทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย
รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ที่ปรึกษากองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้พูดถึงประเด็นสำคัญว่า การสร้างระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นได้นั้น ต้องพิจารณาถึงคุณภาพของการจัดการเรียนรู้ในระบบ นอกระบบ และสิ่งสำคัญที่สุดคือผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดี พร้อมทั้งกล่าวถึงสิ่งที่คาดหวัง คือ การเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ในระบบและนอกระบบ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “การเทียบโอน” แต่การเทียบโอนนั้นต้องไม่ทิ้งผลลัพธ์การเรียนรู้ ดังนั้นคุณภาพของหน่วยการเรียนรู้จึงต้องได้มาตรฐาน เพื่อให้เกิดการยอมรับร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่จัดการเรียนรู้

ด้าน รศ.ดร. นพพร ลีปรีชานนท์ รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวเสริมว่า เป็นโอกาสที่ดีที่ภาคีเครือข่ายจากทุกภาคส่วนมารวมตัวกันโดยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาประเทศร่วมกัน ผ่านรูปแบบการส่งเสริมการศึกษาที่ยืดหยุ่น และการขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้สำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
“การส่งเสริมการศึกษาที่ยืดหยุ่น เป็นอีกทางที่จะช่วยให้สร้างโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนและประชาชน ซึ่งในการผลักดันเรื่องนี้ให้เกิดผลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายและการปฏิบัติจริง เพื่อให้ผู้เรียนทุกกลุ่มได้รับการยอมรับอย่างเสมอภาคในระบบการศึกษา”

ขณะเดียวกัน นายภฤศ วรรัตนวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) กล่าวถึงบทบาทของ TEP ที่จะเป็นจิ๊กซอว์ในการขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาที่ยืดหยุ่นและความคาดหวังในครั้งนี้ ว่า
“เราจะเป็นคนกลางที่คอยเชื่อมโยงฝั่งเอกชน หรือ ทรัพยากรด้านการศึกษา มาลงทุนกับต้นแบบที่คาดหวังว่าจะเกิดคุณภาพ และเราคาดหวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในระดับโครงสร้าง หรือ นโยบาย ซึ่งจะเกิดขึ้นจากส่วนกลางหรือรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ แต่เป้าหมายที่เราคาดหวังจะเห็นคือการเปลี่ยนแปลงในระดับท้องถิ่นด้วย โดยเราจะเชื่อมโยงให้ในพื้นที่มาร่วมจัดการศึกษาในพื้นที่ของตนเองให้มีคุณภาพ”
พร้อมยกตัวอย่างพื้นที่การจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ได้แก่ การจัดการศึกษาแบบคนละครึ่งของกลุ่มมะขามป้อมที่เชียงดาว โดยคุณครูสอนในโรงเรียนครึ่งหนึ่งตามตัวชี้วัดวิชาการ ในขณะเดียวกัน วิชาชีพ ทักษะชีวิตต่างๆ ก็ให้แหล่งการเรียนรู้ร่วมจัดการศึกษา และประเมินการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งมองว่าเป็นต้นแบบที่ควรขยาย

ต่อมา รองศาสตราจารย์ ดร.วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา หัวหน้าภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต และประธานสาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียนคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้วิจัยและศึกษาโมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตในหลายประเทศและนำเสนอเป็นบทสังเคราะห์องค์ความรู้และบทเรียนจากการขับเคลื่อนงานด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพื่อกลับมาพัฒนาระบบนิเวศการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในประเทศไทย
“บ้านเราก็พยายามทำตรงนี้เหมือนกัน เปิดโอกาสให้ท้องถิ่นทำการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเป็นหน่วยที่ทำการสนับสนุน ถ้าเราย้อนกลับมาดูประเทศไทยมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น เรื่องของระบบดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ ณ ปัจจุบันแพลตฟอร์มออนไลน์ประเทศไทยมีเยอะมาก แล้วสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้ด้วย แต่ประเด็นคือว่า จะเอามาใช้แล้วจะเอามาเทียบโอนกันอย่างไร อีกประเด็นก็คือว่าเรามี EdTech ในเมืองไทยเยอะมาก แต่จะทำอย่างไรให้ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งควรลงทุนเพื่อให้เกิดความเสมอภาคใน EdTech เหล่านี้ด้วย”

แม้ว่าการเทียบโอนประสบการณ์ในทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องจะเปิดทางหรือเอื้ออํานวยแล้ว แต่ในทางปฏิบัติการเทียบโอนประสบการณ์ยังไม่สามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การประชุมครั้งนี้จึงเชิญภาคีเครือข่ายที่มีประสบการณ์ในการเทียบโอนประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ จากทั่วประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมแลกเปลี่ยนและหาแนวทางดําเนินงานร่วมกัน และร่วมออกแบบระบบนิเวศหรือระบบสนับสนุน “การเทียบโอนประสบการณ์ในบริบทของการศึกษาที่ยืดหยุ่น” ให้เป็นกลไกสําคัญที่ทําให้ผลลัพธ์การเรียนรู้จากการทํางาน การฝึกอบรม การเรียนรู้นอกระบบ และตามอัธยาศัย ถูกยอมรับและนําไปนับหน่วยกิตได้อย่างมีมาตรฐาน พร้อมสร้างเครื่องมือประเมินที่น่าเชื่อถือ ช่วยลดปัญหาการเรียนซ้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนด้านการศึกษา และเชื่อมเส้นทางการศึกษา–อาชีพอย่างต่อเนื่อง
รองศาสตราจารย์ ดร.วีระเทพ ยังกล่าวต่ออีกว่า ภาพรวมการเชื่อมโยงของตัวระบบ เป็นภาพความฝันของประเทศไทยที่เราอยากเห็นทุกระบบมาเชื่อมโยงและทำงานสัมพันธ์กัน ทำให้เกิดความยืดหยุ่นที่แท้จริงในการจัดการการเรียนรู้ทางการศึกษา และทุกคนสามารถได้รับการเข้าถึงตัวระบบต่าง ๆ ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรแสวงกำไรหรือไม่แสวงผลกำไรมาร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนงานครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตั้งแต่ระดับโรงเรียน ระดับมหาวิทยาลัย การศึกษานอกระบบ รวมไปถึงแหล่งเรียนรู้ก็สนใจประเด็นนี้ ว่าสิ่งที่เขากำลังดำเนินการอยู่จะเกิดความเชื่อมโยงและประโยชน์สูงสุดให้แก่ผู้เรียนและผู้ให้บริการได้อย่างไร
ทั้งนี้ การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานระดับนโยบาย กองทุนภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และภาคีระดับปฏิบัติการ ตั้งแต่การกําหนดมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ เครื่องมือประเมิน การเชื่อมโยงฐานข้อมูล/ ธนาคารหน่วยกิต การพัฒนาศักยภาพบุคลากร จนถึงการออกแบบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อร่วมสังเคราะห์องค์ความรู้และบทเรียนจากการ เชื่อมโยงการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ออกแบบแนวทางการเทียบโอนประสบการณ์ที่สอดคล้องกับบริบทการศึกษาที่ยืดหยุ่นและมาตรฐานผลลัพธ์การเรียนรู้ และระบุองค์ประกอบของระบบนิเวศและระบบสนับสนุนที่จําเป็น (มาตรฐาน เครื่องมือดิจิทัล กระบวนการประเมิน งบประมาณ การกํากับติดตาม) และการออกแบบเพื่อร่วมกันหาทางออกในการแก้ปัญหาเชิงระบบจากปัญหา (Pain Point) สําคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ในแต่ละรูปแบบ ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบและกลไกในระดับประเทศต่อไปในอนาคต





