หนึ่งในการวัดผลระดับโลกที่มุ่งเน้นเรื่องสุขภาวะที่ดีของเด็ก (Children’s Wellbeing) คือ Children’s Worlds International Survey โดยการสนับสนุนจาก UNICEF และ Jacobs foundation เพื่อสำรวจข้อมูลด้านความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กในช่วงอายุ 8 ปี 10 ปี และ 12 ปี ตั้งแต่การทำความเข้าใจมุมมองของเด็ก การรับรู้ของเด็กที่มีต่อโลกยุคปัจจุบัน ไปจนถึงความสุขและความพึงพอใจในชีวิต
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้มีโอกาสเชิญ ชาซลีย์ ซาวาห์ล (Shazly Savahl) ผู้อำนวยการศูนย์สหวิทยาการเด็ก ครอบครัว และสังคม (Centre for Interdisciplinary Studies of Children, Families and Society) จากมหาวิทยาลัย Western Cape ประเทศแอฟริกาใต้ มาร่วมให้ความรู้ในงานเสวนาวิชาการนานาชาติ เรื่องนวัตกรรมการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (International Seminar on Pupil Outcomes Assessments)
ชาซลีย์เล่าว่า Children’s Worlds Survey ได้ทำการสำรวจมาแล้ว 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2009 ครอบคลุมเด็กทั่วโลกกว่า 240,000 คน การสำรวจครั้งล่าสุดใน 20 ประเทศเกิดขึ้นช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พอดี ทำให้ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผลสำรวจอย่างเป็นทางการจะเปิดสู่สาธารณะในเดือนมิถุนายน 2023 นี้
“ใจความสำคัญที่เราได้จากการสำรวจรอบนี้คือ เด็กสามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างลึกซึ้งกว่าที่คิด แม้จะยังอายุน้อยและอ่อนประสบการณ์ ทำให้เรานำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากผู้กำหนดนโยบายสนใจนำไปปรับใช้กับโปรแกรมพัฒนาการเด็ก”
เนื่องจากเราทำผลสำรวจที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของเด็ก ความท้าทายของการทำงานต่อให้สำเร็จลุล่วงคือ ทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญ ให้เขาเข้าใจว่าเด็กก็มีความสามารถในการสะท้อนความต้องการชีวิตของตนเอง และให้ผู้ใหญ่เปิดใจรับฟังสิ่งที่เด็กส่งเสียงออกมา
“ผมคิดว่าตลอด 12 ปี หรือ 4 รอบของการสำรวจข้อมูล มีการพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วว่าเด็กสามารถเข้าใจชีวิตและสะท้อนมันออกมาได้ดีไม่แพ้ผู้ใหญ่ แต่มันมักจะไปติดอยู่ที่การนำไปทำต่อ เช่น ความซับซ้อนยุ่งยากของระบบราชการ หรือการพูดคุยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง”
ความไม่เท่าเทียมกันทางความสุขเกิดจากอะไร?
Children’s Worlds Survey นับว่าเป็นการวัดผลที่ครอบคลุมความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง จากการทำงานร่วมกับประเทศรายได้น้อยไปจนถึงประเทศรายได้สูง ย่อมเห็นความไม่เท่าเทียมกันของเด็กตามบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน แต่ภายในประเทศเดียวกันก็เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางสุขภาวะได้จากหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ในแง่ของชุมชนเมืองและชนบท เพศและอายุ
ในบริบทของประเทศไทย อาจไม่มีปัญหาเรื่องเพศที่สร้างความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่เรื่องฐานะทางการเงินส่งผลเป็นอย่างมาก ข้อมูลของคณะกรรมการปฏิรูปอิสระด้านการศึกษา ระบุว่าเด็กไทยราว 4 ล้านคน เป็นเด็กยากจนด้อยโอกาสจากครอบครัวที่มีรายได้ครัวเรือนในช่วง 15-20% ล่างสุดของประเทศ ในจำนวนนี้เป็นเด็กเยาวชนที่อยู่ในระบบ 1.8 ล้านคน (ป.1-ม.3) และมีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร
ชาซลีย์ ซาวาห์ลได้กล่าวในงานเสวนาฯว่าระยะเดินทางไปโรงเรียนที่ไกลเกินไปก็ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ได้มากกว่าที่เราคิด เด็กต้องตื่นเช้ากว่าปกติทำให้ Growth Hormones ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือแม้กระทั่งการนั่งรถติดอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานาน ส่งผลให้เด็กนั่งตัวเกร็งอยู่ในรถจนเหนื่อยเพลียก่อนเข้าเรียนในทุกวัน บวกกับเวลาเดินทางกลับบ้านที่ยาวนาน ทำให้เสียเวลาเล่นสนุกหรือทำกิจกรรมกับครอบครัวที่บ้านไปอย่างน่าเสียดาย
นอกจากนี้ ชาซลีย์ยังเน้นย้ำว่าเรื่องของอายุส่งผลมากจริง ๆ โดยพบว่าความเป็นอยู่ที่ดีมีแนวโน้มลดลงตามวัย (Wellbeing-decreasing-of-age tendency) แปลว่าเมื่ออายุมากขึ้น เด็กมักมีความสุขน้อยลง
โลกของการบูลลี่ที่ไม่มีใครอยากอยู่
ในหลายประเทศที่เด็กสามารถทำแบบทดสอบทางวิชาการได้คะแนนสูง แต่เมื่อวัดผลด้านสุขภาวะกลับได้คะแนนต่ำกว่าประเทศอื่น เมื่อสืบค้นไปถึงปัจจัยที่ทำให้เด็กไม่มีความสุขเท่าที่ควร เราพบว่า การถูกกลั่นแกล้ง (bullying victimization) ส่งผลกระทบเชิงลบอย่างชัดเจนต่ออารมณ์ของเด็ก และไปกระทบกับผลการเรียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากได้ข้อมูลเหล่านี้มาประกอบแนวทางพัฒนาเด็ก มีประเทศที่จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วยการตั้งองค์กรหรือโปรแกรมป้องกันการบูลลี่ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบให้มากที่สุด
ในสังคมผู้ใหญ่ เราเข้าใจตรงกันว่าเราอยากให้เด็กในวันนี้เติบโตอย่างมีความสุข แต่ปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้เด็กมีความสุข คือ เสียงของเขาต้องถูกได้ยิน เราต้องปรับความคิดว่าเด็กก็มีเสียงและสิทธิของเขาเอง หากเราถามเด็กเกี่ยวกับชีวิตที่ควรจะเป็น คำตอบที่ได้ก็เหมือนกับกระจกสะท้อนผลงานของผู้ใหญ่ ว่าเราได้สร้างโลกที่เหมาะกับเด็กในวันนี้หรือยัง หรือเป็นเพียงโลกที่เหมาะกับวัยเด็กในอดีตของผู้ใหญ่ในปัจจุบัน
เล่ามาถึงตรงนี้ ต้องบอกว่าประเทศไทยยังไม่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Children’s World Survey แต่ชาซลีย์พูดอย่างมีความหวังว่า ไม่ว่าในระดับประเทศ จังหวัด หรืออำเภอ ก็สามารถเข้ามาร่วมได้ เพื่อเก็บข้อมูลที่จะเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพชีวิตของเด็กในพื้นที่นั้น เป็นทั้งข้อมูลที่วัดผลได้ (Objective) เช่น ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ และข้อมูลที่เป็นด้านความรู้สึกนึกคิด (Subjective) โดยหากนำทั้งสองชุดข้อมูลมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ย่อมได้แนวทางที่กลมกล่อมในสร้างโลกที่น่าอยู่ให้กับเด็ก ๆ ของเรา