13 มกราคม 2564 เกิดภัยธรรมชาติที่ไม่คาดฝันเมื่อน้ำทะเลหนุนสูงฉับพลันบริเวณฝั่งอ่าวไทยเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยประชาชนในพื้นที่อำเภอเมือง ท่าศาลา ปากพนัง และหัวไทร ไม่สามารถเตรียมการรับมือได้ทัน โดยเฉพาะในเขตตำบลปากนครและตำบลท่าซัก อำเภอเมือง ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อุทกภัยครั้งนี้ได้เข้าท่วมสถานที่ราชการ บ้านเรือน ตลาด และเป็นอุปสรรคต่อแทบทุกกิจกรรมในพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่การเดินทางไปโรงเรียนของเด็กๆ
นี่ไม่ใช่เหตุอุทกภัยครั้งแรกที่ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปในพื้นที่ภาคใต้ต้องเผชิญอุปสรรคในการใช้ชีวิต รวมไปถึงอุปสรรคในชีวิตการเรียนของเด็กนักเรียน เพราะหากมองย้อนกลับไปในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก็มักพบเหตุการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ในทุกๆ ปี โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ และวิทยาเขตสุราษฎ์ธานี ร่วมกับศูนย์วิจัยภัยพิบัติทางธรรมชาติภาคใต้ ได้สรุปสาเหตุของเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งบริเวณหลายพื้นที่ในภาคใต้ช่วงต้นปี 2560 ในงานเสวนา ‘ภาคใต้เข้มแข็ง สู้ภัยน้ำท่วม’ ว่า มีสาเหตุมาจากฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่สูงจนเกินปริมาณที่จะรองรับ ส่งผลให้อาคารควบคุมน้ำอย่างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ ก่อนที่จะไหลลงสู่พื้นที่ต่ำกว่าซึ่งกลายเป็นเส้นทางถนน สิ่งปลูกสร้าง อาคารบ้านเรือน ไปจนถึงโรงเรียน ที่สร้างกีดขวางทางน้ำ เหตุการณ์อุทกภัยครั้งนั้นได้สร้างความเสียหายแก่หลายภาคส่วน รวมไปถึงโรงเรียนในจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบถึง 2,336 โรงเรียน
ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมีความพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากทิศทางที่พายุจะพัดผ่านพื้นที่ภาคใต้มักจะเป็นช่วงเวลาหรือเส้นทางเดิมในทุกๆ ปี ดังนั้นหากเริ่มมีการเตรียมการที่พร้อมเพรียงก็จะสามารถบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับโรงเรียนที่จำเป็นต้องจัดให้มีการเรียนการสอนตามปกติ มีระบบคมนาคมที่ปลอดภัยในการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กๆ และการสร้างบรรยากาศที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ได้แม้ในช่วงที่ประสบอุทกภัย
การจัดการให้นักเรียนเดินทางฝ่าอุทกภัยมาโรงเรียนในภาวะที่ยังคงถูกน้ำท่วมขังอยู่นั้นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่สำหรับที่ประเทศบังคลาเทศได้มีนวัตกรรมการศึกษาล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยเปลี่ยนจากให้นักเรียนเดินทางไปโรงเรียน เปลี่ยนเป็นให้โรงเรียนเดินทางไปหานักเรียนที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่อุทกภัยต่างๆ แทน
โครงการ Educate A Child (EAC) โดยองค์กรพัฒนาการกระจายการศึกษาในระดับนานาชาติ ร่วมกับ BRAC องค์กรพัฒนาเอกชนที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในประเทศบังคลาเทศ เริ่มทำโครงการโดยการนำเรือโดยสารมาดัดแปลงเป็นโรงเรียนขนาดย่อม เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์อุทกภัยในพื้นที่ชนบท เนื่องจากการจัดการเรียนการสอนหรือการเดินทางไปโรงเรียนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
โครงการนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการบนหน้าเว็บไซต์ของ EAC โดยมีโครงการนำร่องในพื้นที่ Haor และ Beel เป้าหมายหลักคือการนำเรือมาปรับเปลี่ยนให้มีลักษณะเหมือนห้องเรียนเคลื่อนที่ พื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่เพียงประสบปัญหารุนแรงจากอุทกภัยเท่านั้น แต่หมู่บ้านถึง 42 เปอร์เซ็นต์ใน Sylhet อันเป็นหนึ่งในพื้นที่ของ Haor ยังประสบปัญหาขาดแคลนโรงเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ขาดแคลนระบบขนส่งสาธารณะที่ดี ไปจนถึงการเข้าถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ยากลำบาก ส่งผลให้นักเรียนจำนวนมากต้องเดินทางออกไปเรียนนอกพื้นที่ โครงการเรือโรงเรียนจึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ไขทั้งปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพปัญหาด้านการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานไปพร้อมๆ กัน
เรือโรงเรียนเคลื่อนที่ของประเทศบังคลาเทศ ใช้มาตรฐานการศึกษาของ BRAC โดยจัดให้มีการเรียนการสอนทั้งสิ้น 5 ระดับชั้น ในระยะเวลาทั้งหมด 4 ปี ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่อยู่นอกระบบการศึกษา รวมถึงเด็กที่์อยู่ในพื้นที่อุทกภัยหรือประสบสภาพปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งสิ้นประมาณ 13,000 คน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการอบรมพิเศษให้แก่ผู้ผลิตเรือในระดับท้องถิ่น เพื่อดัดแปลงและสร้างเรือโรงเรียนทั้งหมดให้ได้ครบจำนวน 400 ลำ โดยจะคัดเลือกและฝึกอบรมครูจำนวน 500 คน และก่อตั้งคณะกรรมการจัดการเรือโรงเรียน 400 คณะ มีสมาชิกประกอบไปด้วยบุคลากรของโรงเรียน คนในชุมชน ผู้ปกครอง และตัวแทนจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งเป็นการพยายามเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ให้เข้ามาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาด้านการศึกษา
ผลของโครงการเรือโรงเรียนเป็นที่น่าประทับใจ ดังรายงานโครงการ Floating the Light of Education in Haor: Innovative Solutions to Remove Barriers to Education ได้ระบุเอาไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2012-2018 มีนักเรียนจำนวน 14,581 คน ได้รับการศึกษาในระดับประถมศึกษาด้วยเรือโรงเรียนจำนวน 500 ลำ มีสัดส่วนนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาตามมาตรฐาน BRAC 5 ระดับชั้น และผ่านการทดสอบวัดความรู้ระดับประถมศึกษาในระดับชาติ (The National Primary Education Completion Examination) มากกว่าร้อยละ 99 ซึ่งนับได้ว่าเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับทิศทางในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติและการกระจายทรัพยากรเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยังสามารถบรรลุเป้าหมายในการวัดผลการศึกษาได้อีกด้วย โดยความสำเร็จครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดซึ่งความร่วมมือระหว่างโรงเรียน ครู ชุมชน และภาคีที่เชื่อมโยงกันอย่างเหนียวแน่น
แรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหาในบังคลาเทศ อาจเป็นหนึ่งแนวทางที่สามารถนำมาถอดบทเรียนเพื่อปรับใช้กับบริบทของพื้นที่ภาคใต้ของไทยที่ประสบภัยพิบัติซ้ำซ้อนแทบทุกปีได้ โดยอาศัยวิธีคิดในการแก้ไขปัญหาที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์
ไม่แน่ว่าไทยอาจจะมี ‘โรงเรียนน้ำ’ เหมือนอย่างเช่น ‘ตลาดน้ำ’ ที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกก็เป็นได้