2 และ 13 คืออันดับคะแนน PISA ในปี 2018 ของสิงคโปร์และเวียดนามตามลำดับ จาก 79 ประเทศในกลุ่ม OECD ส่วนประเทศไทยนั้นอยู่ที่อันดับ 66 ในมุมมองระดับนานาชาติอาจเป็นช่องว่างที่ห่างกันเกินไปเมื่อเทียบกับภูมิภาคอาเซียนที่มีเพียงมาเลเซียและบรูไนคั่นกลางเท่านั้น แต่กระนั้นช่องว่างนี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นหากการศึกษาคือปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของภูมิภาค คำถามสำคัญคืออะไรที่ทำให้เกิดช่องว่างนี้
สิงคโปร์: การศึกษาคือการลงทุน
ประเทศสิงคโปร์มีช่วงเวลาที่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาครั้งใหญ่จากการเน้น ‘ปริมาณ’ ให้กลายเป็น ‘คุณภาพ’ ด้วยแนวคิดสำคัญคือ ‘การศึกษาคือการลงทุน’ เพราะหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 1990 รัฐบาลเล็งเห็นว่าการเรียนการสอนรูปแบบเดิมที่มีอยู่อาจไม่สอดคล้องกับการพัฒนาของโลกในศตวรรษที่ 21 อีกต่อไป
จุดแข็งสำคัญของระบบการศึกษาประเทศนี้คือ การลงทุนเพื่อพัฒนาครู ส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทุกระดับมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ แต่ระยะแรกการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ยากเนื่องจากกฎระเบียบแบบดั้งเดิมและครูที่ยึดติดกับวิธีการเก่าๆ ให้ความสำคัญกับการสอบมากกว่าคุณภาพ เพราะการสอบเป็นวิธีที่ง่ายต่อการประเมินผลการเรียนของนักเรียน จึงต้องใช้วิธีเปลี่ยนระบบการประเมินผลที่เน้นความเข้าใจของนักเรียนเป็นหลักแบบ ‘Teach Less, Learn More’ แทน ซึ่งวิธีนี้ส่งผลต่อการออกแบบการเรียนการสอนไปโดยปริยาย
ปัจจุบันระบบการศึกษาของสิงคโปร์กลายเป็นต้นแบบที่หลายประเทศให้ความสนใจ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างตามยุคสมัย แต่ ‘การศึกษาคือการลงทุน’ ยังเป็นหลักการที่ถูกยึดถือไว้โดยตลอด ซึ่งการลงทุนนั้นให้น้ำหนักกับการพัฒนาหลักสูตรและบุคลากรครูเป็นอย่างมาก เป้าหมายสำคัญของการพัฒนาการศึกษาคือ ทำให้ผู้เรียนสนุกกับการเรียนรู้ นำความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง และมีทางเลือกในชีวิตที่หลากหลาย
เวียดนาม: อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียน
สิ่งที่คล้ายกันของการศึกษาไทยกับเวียดนามคือ การแข่งขัน โดยเฉพาะการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะจำนวนที่นั่งในมหาวิทยาลัยไม่สามารถรองรับเด็กได้ทั้งหมด ชั่วโมงเรียนพิเศษที่มากจึงเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ เวียดนามยังประสบกับปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ ส่วนตัวเลขผลคะแนน PISA ที่เห็นว่าโดดเด่นนั้น มาจากคะแนนสอบของนักเรียนในระบบซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเศรษฐานะดี
เวียดนามปฏิรูปการศึกษากว่าหลายทศวรรษ โดยมีปัจจัยด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อระบบการศึกษาอย่างมาก การฟื้นฟูประเทศหลังสงครามและแนวคิดของลัทธิขงจื๊อหล่อหลอมให้ระบบการศึกษามีความเข้มข้น เน้นการสร้างพลเมืองที่ดีและขยันทำงานหนัก มีการออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี
ในระยะหลัง การปฏิรูปการศึกษาเน้นไปที่การลดภาระของนักเรียน ส่งเสริมการลงทุนโดยเอกชน และปรับปรุงระบบอาชีวศึกษา โดยในปี 2019 เวียดนามลงทุนในการศึกษาถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด เน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพ โดยเฉพาะคุณภาพหลักสูตรและคุณภาพครู
คำถามสำคัญที่เป็นความท้าทายก้าวต่อไปคือ “อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เรียน” ซึ่งหมายถึงการสร้างโอกาสในการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพ นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะออกจากระบบอย่างหลากหลายได้อย่างไรเพื่อให้ประชากรมีความสร้างสรรค์ และมีทักษะในการปรับตัวที่ตอบสนองสังคมยุคดิจิตอล
ไทย: ความรู้คู่คุณธรรม
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย จากแผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) ได้กำหนดเป้าหมายสำคัญของการศึกษาไว้ว่า “มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้คู่คุณธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขในสังคม” ซึ่งหากพิจารณาจากตัวชี้วัดแล้ว จะเห็นได้ว่ายังอยู่ในวังวนของการเพิ่มประสิทธิผลเชิงปริมาณไปกว่าครึ่ง และสิ่งที่เป็นนามธรรมอย่าง ‘คุณธรรม’ และ ‘ความสุข’ ก็ไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน แน่นอนว่าผลสัมฤทธิ์ด้านคุณภาพยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทั้งที่สัดส่วนงบประมาณสำหรับการศึกษามีอยู่อย่างเพียงพอ
จากรายงานโครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2562) จัดทำโดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ระบุว่า สัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณด้านการศึกษาต่อ GDP ของประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งแต่ปี 2551-2561 ซึ่งไม่เคยน้อยกว่าร้อยละ 5 ประเด็นสำคัญคือค่าใช้จ่ายเหล่านั้นถูกจัดสรรอย่างไร และมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
จากแผนภาพพีระมิดกิจกรรมการใช้จ่ายจะเห็นได้ว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่าย อยู่ที่การผลิตนักเรียนและบัณฑิต (ส่วนใหญ่คือค่าจ้างครู) ในขณะที่สัดส่วนที่น้อยที่สุดไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ คือการพัฒนาบุคลากรและครู ต่างจากสิงคโปร์และเวียดนามที่แผนพัฒนาการศึกษาพูดถึงการพัฒนาครูอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่การศึกษาไทยควรทบทวนคือ กระบวนการพัฒนาคุณภาพทั้งหมด โดยตั้งต้นที่การลดความเหลื่อมล้ำเป็นสำคัญ เพราะการบริหารทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ถึงแม้จะมีโอกาสได้เข้าสู่การศึกษาในระบบก็ตาม
จะเห็นได้ว่าการให้ความสำคัญด้านงบประมาณของแต่ละประเทศอาจไม่ต่างกันมาก แต่ช่องว่างด้านคุณภาพเกิดขึ้นจากมุมมองในการจัดลำดับความสำคัญ แน่นอนว่าเราไม่สามารถลอกเลียนแบบประเทศที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยวิธีการเดียวกันทั้งหมด เพราะปัจจัยด้านอื่นๆ ที่แตกต่าง แต่จุดที่ควรเริ่มต้นแก้ไขคือ การมีวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างตรงจุดมากขึ้น
อ้างอิง
- รายงานโครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2562) จัดทำโดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ปี 2563
- แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)
- T Hath. (2020). Revisiting The Power And Paradoxes of Education In Singapore: Lead The Change Interview With Pak Tee Ng
- David Hogan. (2014). Why is Singapore’s school system so successful, and is it a model for the west
- Deputy education minister talks about vision of Vietnam’s education
- Education in Vietnam: very good on paper