ชวนทุก ๆ ท่านลองจินตนาการภาพวัยรุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งจบ ม.3 หรือ ม.6 เขาหรือเธอคนนั้นอาจมีฝันอยากเป็นผู้ช่วยพยาบาล ช่างยนต์ หรือช่างเชื่อมฝีมือดี แต่เมื่อหันกลับมามองความเป็นจริงในครอบครัว พวกเขาเหล่านั้นกลับต้องเจอกำแพงอุปสรรคใหญ่อย่าง “เงิน” ที่ขวางกั้นระหว่างเขากับอนาคต นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับเยาวชนไทยจำนวนมาก และนั่นคือเหตุผลที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเกม
ทุนที่มากกว่าการให้…คือการสร้างชีวิต
ในปี 2562 กสศ. โดย สำนักพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ได้ริเริ่ม “โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง” เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนยากจนหรือด้อยโอกาสได้มีเส้นทางเรียนต่อในระดับอาชีวศึกษาชั้นสูง โดยไม่ต้องแบกรับภาระทางการเงินที่เกินกำลัง เป้าหมายไม่ใช่แค่ให้เยาวชนกลุ่มนี้ “เรียนจบ” แต่พวกเขาเหล่านั้นต้อง “มีอาชีพ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
จุดแข็งของโครงการนี้อยู่ที่ “ทุนแฝด” ซึ่งหมายถึงการให้ทุนสนับสนุนทั้งกับนักศึกษา และ สถานศึกษาไปพร้อมกันเมื่อนักเรียนได้รับทค่าครองชีพ ค่าเล่าเรียน และกิจกรรมพัฒนาทักษะ สถาบันการศึกษาที่นักเรียนสังกัดอยู่ก็จะได้รับทุนเพื่อพัฒนา Enrichment Program เช่น การฝึกงาน การเรียนรู้จากสถานประกอบการในพื้นที่จริง หรือการจัดอบรมที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับนักเรียนด้วย
ด้วยเหตุนี้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่ “เด็กได้ทุน” แต่เป็นการสร้างระบบการเรียนสายอาชีพที่มีคุณภาพและเป็นของพื้นที่อย่างแท้จริง
แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่า…โครงการที่กำลังดำเนินการอยู่คุ้มค่า?
เมื่อโครงการนี้สร้างประโยชน์และการเปลี่ยนแปลงในตัวเยาวชน และอาจรวมถึงสังคม จึงนำไปสู่การประเมินผลตอบแทนในรูปแบบที่ลึกซึ้งขึ้น ที่เรียกว่า SROI – Social Return on Investment หรือ “ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน” ซึ่งเครื่องมือนี้ไม่ได้วัดแค่ผลลัพธ์ในกระเป๋าเงิน แต่รวมถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในตัวบุคคล ครอบครัว และสังคม โดยรวมในการศึกษาครั้งนี้ทางสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) ร่วมกับ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีรศ.ดร.แก้วขวัญ ตั้งติพงศ์กูล เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย ได้ดำเนินการออกแบบ และประเมิน SROI โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง โดยใช้ปี 2567 เป็นปีฐาน และประเมินผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นภายใน 5 ปีหลังจากที่นักศึกษาจบการศึกษา โดยเทียบระหว่าง “สถานการณ์ที่มีโครงการ” กับ “สถานการณ์ที่ไม่มีโครงการ” เพื่อดูว่าการลงทุน 1 บาทในโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงจะสร้างคุณค่าทางสังคมได้เท่าไหร่
สิ่งที่นักวิจัยนำมาคำนวณผลกระทบ ประกอบด้วย รายได้ที่นักศึกษาหาได้ เงินออมที่เริ่มเก็บตั้งแต่เรียน รายได้ที่ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว และแม้แต่ต้นทุนที่สังคมสามารถลดลงได้ เช่น การลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ไม่พร้อม หรือการกระทำผิดในกลุ่มวัยรุ่น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักศึกษาที่มีความต้องการพิเศษได้รับทุนนวัตกรรมสายอาชีพ ประโยชน์ที่ได้รับจึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “การได้เรียน” แต่ยังรวมถึงโอกาสในการมีชีวิตที่พึ่งพาตัวเองได้ และลดภาระให้กับครอบครัวและสังคมโดยรวมอย่างเป็นรูปธรรม นี้เป็นต้น
เพื่อให้เข้าใจว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากทุน 2 ปีนี้มีอะไรบ้าง เราลองมา “แปลงโอกาส” เป็น “ตัวเลข” ผ่านการประเมิน SROI ที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
- รายได้หลังเรียนจบ: จุดเปลี่ยนสู่การพึ่งพาตัวเอง หลังจบการศึกษา นักศึกษาที่ได้รับทุนสามารถมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 15,000 บาท หรือ 180,000 บาทต่อปี ซึ่งประเมินว่าเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ช่วยให้ พวกเขาพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
- เงินออมระหว่างเรียน: เริ่มต้นฝึกวินัยทางการเงิน แม้จะยังศึกษาอยู่ แต่นักศึกษากลุ่มนี้สามารถออมเงินได้เดือนละ 1,000 บาท หรือ 12,000 บาทต่อปี ซึ่งเมื่อสะสมตลอด 2 ปีการศึกษา จะเท่ากับ 24,000 บาท สะท้อนถึงทักษะการวางแผนและความรับผิดชอบทางการเงินที่ปลูกฝังได้จากโครงการ
- การแบ่งเบาภาระครอบครัว: ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา ครอบครัวของนักศึกษาสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้เฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท หรือ 60,000 บาทต่อปี รวมเป็น 120,000 บาทใน 2 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการให้ทุนไม่เพียงช่วยนักศึกษา แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกต่อฐานะครอบครัวโดยตรง
- ลดความเสี่ยงจากการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ข้อมูลจากการศึกษางานวิจัยและข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้องทำให้สามารถประมาณการณ์ได้ว่าร้อยละ 10 ของนักศึกษากลุ่มเป้าหมาย หากไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา อาจมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พร้อม โดยมีต้นทุนทางสังคมเฉลี่ยที่เกิดจาการตั้งครรค์ไม่พร้อมอยู่ที่ 4,582 บาทต่อเดือนต่อคน หรือคิดเป็นมูลค่า 54,984 บาทต่อปี ซึ่งประโยชน์นี้จะคงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี
- ลดความเสี่ยงในการเข้าสู่อาชญากรรม ในลักษณะเดียวกัน การอยู่ในระบบการศึกษาช่วยลดโอกาสเข้าสู่กระบวนการอาชญากรรม ซึ่งมีต้นทุนต่อคนต่อปีสูงถึง 168,156 บาทต่อปีต่อคน โดยประเมินว่ามีประมาณร้อยละ 1 ของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากโครงการนี้ในระยะ 5 ปี
- รายได้ระหว่างเรียน: เรียนไปด้วย มีรายได้ไปด้วย แม้จะอยู่ในช่วงเรียน นักศึกษากลุ่มนี้ยังสามารถหารายได้เสริมเฉลี่ย 12,000 บาทต่อปีได้ด้วยตนเอง ซึ่งช่วยเสริมสร้างทั้งประสบการณ์และความมั่นใจในการทำงานจริง

ทุนนวัตกรรมสายอาชีพ…ทุนที่ให้มากกว่าที่คิด
ผลการประเมินผลตอบแทนทางสังคมสามารถแบ่งตามประเภทและระยะเวลาการสนับสนุนทุน โดยพบว่า
- ทุนระยะเวลา 1 ปี เช่น การผลิตผู้ช่วยพยาบาล ให้ค่า SROI ที่ 2.77 หมายถึงทุก 1 บาทที่ลงทุน ได้คืนมาในรูปผลประโยชน์ทางสังคมถึง 2.77 บาท
- ทุนระยะเวลา 2 ปี แม้จะต้องใช้เวลานานขึ้นและงบประมาณสูงขึ้น ก็ยังให้ค่า SROI ที่ 1.77 ซึ่งยังถือว่า คุ้มค่า
- ทุนระยะเวลา 5 ปี แม้ใช้ทุนสูงที่สุด แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ 1.61 บาทต่อการลงทุน 1 บาท แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าระยะยาว
- ส่วนทุนระยะเวลา 2 ปีที่จัดสรรให้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ เป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ด้วยค่า SROI ที่ 4.13 เพราะหากไม่มีโครงการนี้ กลุ่มผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษนี้แทบไม่มีโอกาสได้เรียนและทำงานเลย
เมื่อนำผลตอบแทนทางสังคมจากทุกกลุ่มประเภทมารวมกัน พบว่าโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.93 บาทต่อการลงทุน 1 บาท ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่า “คุ้มทุน” อย่างชัดเจน แม้ใช้วิธีคำนวณแบบระมัดระวัง (Conservative Estimate) ที่ไม่ได้นับผลลัพธ์เชิงคุณภาพบางส่วนที่ยากจะประเมินเป็นตัวเลข

การลงทุนในมนุษย์ : โอกาสที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในตัวคนและต่อสังคม
สิ่งที่น่าคิดคือ แม้ตัวเลข SROI จะบ่งชี้ว่าโครงการนี้ “คุ้ม” สำหรับการลงทุน แต่ในอีกแง่หนึ่ง เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง จากเด็กที่ไม่มีโอกาสเรียน ไม่มีโอกาสแตะความฝันมาสู่การเป็นคนที่มีอาชีพ มีรายได้ และเป็นที่พึ่งของครอบครัวในอนาคต สิ่งเหล่านี้อาจไม่มีราคา แต่มี “คุณค่า” ที่ยิ่งใหญ่ และย้ำให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมการลงทุนในมนุษย์จึงเป็นการลงทุนที่ดีที่สุด
เส้นทางต่อไป: จากโครงการ สู่การเปลี่ยนระบบ
บทเรียนจากโครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงของ กสศ. ไม่ได้จบแค่ตัวเลขผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ที่น่าพอใจ แต่คือการยืนยันว่า “ระบบทุนที่ออกแบบดี + การมีส่วนร่วมกับสถานศึกษา + การประเมินผลที่โปร่งใส” สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบได้จริง
หากประเทศไทยต้องการสร้างทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และสามารถแข่งขันได้ในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ การลงทุนในโครงการที่มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพและสร้างโอกาสให้เยาวชนไม่ควรเป็นแค่ “โครงการพิเศษ” แต่ควรเป็น “นโยบายหลัก” ที่นำไปสู่การต่อยอดขยายผลได้อย่างต่อเนื่อง เพราะในที่สุดแล้วการลงทุนด้วยการให้โอกาสทางการศึกษากับเยาวชนทุกคน อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในอนาคต

