โรงเรียนขาดแคลนทรัพยากรเพื่อส่งเสริมประสบการณ์เรียนรู้ของเด็ก ขณะที่ในระดับผู้กำหนดนโยบายก็ขาดแคลนข้อมูลเชิงประจักษ์เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษาไทย ความท้าทายของปัญหาเหล่านี้คือ เรายังขาดแนวทางการวัดและประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) โดยไม่สร้างภาระเกินความจำเป็นแก่คุณครู
นี่จึงเป็นการจุดประกายให้เกิดการรวมตัวของนักวิชาการด้านการศึกษาจากทั่วโลก ในงานเสวนาวิชาการนานาชาติ เรื่องนวัตกรรมการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (International Seminar on Pupil Outcomes Assessments) เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2566 งานครั้งนี้มีความน่าสนใจอย่างไร เรามาฟังจากผู้จัดงานกัน
ภูมิ เพ็ญตระกูล นักวิเคราะห์และบริหารโครงการวิจัยด้านการผลิตและพัฒนาครู จากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เล่าว่า งานเสวนาในครั้งนี้จัดขึ้นโดย กสศ. ร่วมกับ Creativity, Culture and Education (CCE) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชนจากสหราชอาณาจักร เพื่อระดมความคิดและอัพเดตสถานการณ์ว่าทั่วโลกมีวิธีประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้อย่างไร โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญมาจากทั่วโลก เช่น ชิลี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย ฮ่องกง เป็นต้น
ภูมิมีประสบการณ์ในแวดวงการศึกษาทั้งสอนในห้องเรียนและทำวิจัยมาอย่างโชกโชน บอกว่า ตั้งแต่ระดับโรงเรียนถึงระดับนโยบาย ไม่ว่าจะใส่โครงการอะไรเข้าไป เรามักไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน หรือมีมาตรฐานที่ชัดเจนว่าผลลัพธ์การเรียนรู้ดีขึ้นจริง
“เราเห็นปัญหาว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นเรื่องที่วัดได้ยากเหลือเกิน แค่จะพูดถึงนิยามว่าคืออะไร แค่นี้ก็ซับซ้อนแล้ว เราเลยคิดว่าทั่วโลกก็ย่อมมีคนสงสัยเรื่องเดียวกัน มีความพยายามวัดผลเช่นเดียวกัน เลยเชิญเขามาแชร์นวัตกรรมเรื่องการวัดผลการเรียนรู้ที่มีอยู่”
หลักเกณฑ์ของการเลือกวิทยากรและเครื่องมือในงานครั้งนี้ เน้นที่นวัตกรรมการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำลังใช้งานอยู่จริงและสามารถขยายผลได้ โดยหวังว่าบุคลากรทางการศึกษา ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ครูผู้สอนและโรงเรียน จะได้แรงบันดาลใจในการไปทำงานต่อ
“เวลาเราทำงานเรื่องประเมินผล เรามักจะติดกันอยู่แค่ว่าวัดอะไร วัดยังไง ไม่ค่อยได้คุยไปถึงจุดที่ว่า วัดมาแล้วเอาข้อมูลไปทำอะไรต่อ แต่ในงานครั้งนี้ เราเห็นชัดเลยว่าวิทยากรทุกคน มีการบรรยายว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้จริงอย่างไร”
สิ่งสำคัญที่อยากให้ผู้เข้าร่วมได้รับกลับไปจากงานครั้งนี้คือ มีไอเดียที่จะต่อยอดการทำงานได้ ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือใหม่ในทันที ซึ่งกว่าจะได้มาต้องมีการลงทุนและจัดทำอย่างต่อเนื่อง การรู้จักประเภทตัวชี้วัดให้รอบด้าน ย่อมทำให้เรามีโอกาสเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสมตามต้องการ
ภูมิแบ่งกลุ่มของการวัดผลในโลกยุคปัจจุบันว่า มันมีทั้งไซส์เล็ก ไซส์ใหญ่ เครื่องมือกลุ่มแรกที่วงการการศึกษารู้จักกันดี คือการสำรวจกับกลุ่มตัวอย่างจำนวนมาก อาทิ การประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) จาก OECD หรือ การศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (Trends in International Mathematics and Science Study หรือ TIMSS) จาก IEA ซึ่งจะเน้นวัดทักษะทางวิชาและการอ่านของเด็กประถม ในขณะที่เครื่องมืออีกกลุ่มจะใช้งานได้ในระดับห้องเรียน หรือแม้กระทั่งวัดผลนักเรียนเป็นรายบุคคลได้ เช่น การวัดผลด้านความคิดสร้างสรรค์ การประเมินสมรรถนะ การสำรวจสุขภาวะของเด็ก (Wellbeing)
ในมิติของการวัดผล สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ด้าน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า VASK ได้แก่ เด็กยึดถือคุณค่าอะไร (Value), เด็กมีทัศนคติอย่างไร (Attitude), เด็กมีทักษะอะไร (Skill) และเด็กมีความรู้มากน้อยแค่ไหน (Knowledge) จะเห็นได้ว่า นอกเหนือจากการวัดผลด้านวิชาการเพียงอย่างเดียวที่เป็นที่นิยมในอดีต เรายังต้องทำความเข้าใจและลองหัดใช้การวัดผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านที่เหลือด้วย เพื่อทำให้ภาพฝันและคุณภาพอนาคตการศึกษาไทยเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น ซึ่งอยากให้เป็นอย่างไรนะหรือ? ก็ลองใช้เครื่องมือเหล่านี้ไปถามเด็ก ๆ ดูสิ