ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยังคงเป็นปัญหาสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ที่จะนำไปสู่การพัฒนาประเทศ ซึ่งสถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิตขององค์การยูเนสโก เห็นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรทุกภาคส่วนมาสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้กับประชาชนทุกคน ทุกระดับด้วย “เมืองแห่งการเรียนรู้” โดยตั้งเป้าพัฒนาด้านการศึกษาให้มีคุณภาพ ครอบคลุม และเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้ตลอดชีวิต นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนด้านอื่น
ในการจัดเวทีระดมความร่วมมือขับเคลื่อนสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา มีการปาฐกถาพิเศษ เรื่องท้องถิ่นร่วมสร้างคน สร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันชัย รองประธานอนุกรรมการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ระบุถึง “เมืองแห่งการเรียนรู้” ไว้ว่าเป็นเหมือนสถานีพลังงานของพาหนะสำหรับชีวิต เพาะมองว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคน เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ โดยปัจจุบันประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างชัดเจน แม้รัฐจะมีนโยบายให้เรียนฟรี แต่จากข้อเท็จจริงยังพบว่าคุณภาพการศึกษากลับไม่เท่ากัน ทั้งด้านระบบการศึกษาเองและโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของแต่ละคน ครอบคลุม และเป็นการ ทั้งนี้เห็นว่าหากต้องการจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็จำเป็นต้องสร้างโอกาส เพื่อให้ทุกคนใช้โอกาสในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้อย่างเท่าเทียม รวมทั้งต้องทำระบบให้ดีทั้งตัวสถานศึกษาและระบบนิเวศทางการศึกษา ซึ่งรัฐควรให้โรงเรียนได้มีอิสระในการบริหารจัดการตามบริบท ร่วมกับเครือข่ายท้องถิ่น สร้าง“เมืองแห่งการเรียนรู้” ให้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างการเรียนรู้ของคนในชุมชน
ขณะที่รองศาสตราจารย์ผณินทรา ธีรานนท์ หัวหน้าแผนงานโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้พะเยา มหาวิทยาลัยพะเยา กล่าวในเวทีชวนคิดชวนคุย How Might We ทำอย่างไรให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยเปิดแผนการทำงานในพื้นที่ จ.พะเยาที่ใช้การจัดการแบบภาคีเครือข่าย มาเป็นหลักในการขับเคลื่อนเมือง ซึ่งในครั้งแรกที่ดำเนินการ ได้ใช้กลยุทธ์การเจรจาต่อรองแบบไม่เป็นทางการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระหว่างการจัดกิจกรรมสร้างแหล่งเรียนรู้ ก่อนจะนำไปสู่การดึงคนในชุมชนมาร่วมมือกันสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ แต่โจทย์หลักในพื้นที่ จ.พะเยา คือการมีกลุ่มเปราะบางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเรียนรู้ในคนกลุ่มนี้ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายได้ตระหนักว่าตนเองมีคุณค่า จึงจำเป็นต้องแบ่งพื้นที่การทำงานเป็น 2 ส่วนเพื่อการดูแลอย่างทั่วถึง
ขณะที่อีกพื้นที่ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพต่างกัน อย่างในชุมชนคลองเตย คุณศิริพร พรมวงศ์ นวัตกรจากโครงการพัฒนาทักษะอาชีพเพื่อเยาวชนคลองเตย (คลองเตยดีจัง) บอกว่า แรกเริ่มของการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ ใช้พื้นที่โรงฆ่าหมูเป็นแหล่งเรียนรู้ หวังสร้างพื้นที่เล็กๆที่ไม่ไกลจากชุมชน ให้ทุกคนในชุมชนเข้าถึงได้ และจัดการเรียนรู้แบบ Learn and Earn เพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องได้ทั้งความรู้และมีรายได้ไปพร้อมๆกัน ภายใต้ความเชื่อว่าคนทุกคนต้องการพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเอง ซึ่งความยากของการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่คลองเตยนี้ ไม่ได้อยู่ที่นโยบายของภาครัฐจะเป็นอย่างไร แต่อยู่ที่การทำให้นโยบายนั้นเกิดขึ้นได้จริงจากการทำงานด้วยจิตวิญญาณของคนในพื้นที่จริงๆ
สอดคล้องกับแนวคิดของ รองศาสตราจารย์ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ที่เห็นว่าสิ่งสำคัญของกลไกความร่วมมือเมืองแห่งการเรียนรู้ คือต้องเรียนรู้แล้วกินได้ คือสามารถสร้างรายได้ไปด้วย โดยที่ผ่านมาการทำให้เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้ เป็นเพราะมีความเชื่อมั่นว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งปกติที่ทุกเมืองควรมี แต่หลังจากได้ร่วมกับองค์การยูเนสโกแล้ว ประเทศไทยก็เริ่มปรับให้เป็นการเรียนรู้ที่กินได้ พร้อมเดินหน้าให้ตอบโจทย์กับกลุ่มที่มีความหลากหลายมากขึ้น ด้วยการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆในระกับพื้นที่เป็นหลัก จึงเชื่อว่าเมืองแห่งการเรียนรู้ จะเป็นหนึ่งในนโยบายที่ทำให้การศึกษาทางเลือกเฟื่องฟูมากยิ่งขึ้น
ด้านคุณพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ระบุว่าที่ผ่านมา กสศ.พยายามสร้างระบบนิเวศน์ทางการศึกษา เพื่อให้ทุกคนในสังคมเข้าสู่ประตูแห่งการเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยเมืองแห่งการเรียนรู้ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทำให้เกิดระบบนิเวศน์ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของคนเช่นกัน กสศ.จึงคาดหวังให้แต่ละพื้นที่ทำงานร่วมกับเครือข่าย เป็นเจ้าของในการดูแลทรัพยากรมนุษย์ของตนเอง ซึ่งโจทย์หลักคือไม่ว่าพื้นที่จะใหญ่หรือเล็ก ก็ยังสามารถสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่ของตนเองได้
ส่วนคุณทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) บอกว่าพร้อมที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยOKMD จะเป็นหน่วยงานต้นแบบพื้นที่ด้านการเรียนรู้สาธารณะ ซึ่งมองว่าความท้าทายเรื่องการเรียนรู้ คือโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา ที่ต้องมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นได้มีบทบาทและกำกับทิศทางด้วยตนเอง โดยแนะให้สร้างเมืองแห่งการเรียนรู้ในแบบการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ เพราะที่ผ่านมาในแต่ละพื้นที่มีข้อมูลให้เรียนรู้จำนวนมาก แต่ไม่เคยมีการรวบรวมไว้ การรวบรวมมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้จะสามารถกระตุ้นความสนใจได้ โดยความร่วมมือจากส่วนราชการทั้งจากส่วนกลางและท้องถิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
การจะส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยการพัฒนาเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” ที่เป็นหนึ่งในแนวทางการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาในระดับพื้นที่นี้ จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สร้างการมีส่วนร่วมและสร้างความตระหนัก ในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ด้วยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ส่งเสริมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป