ดร. ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวถึงจุดประสงค์ของการประชุมขับเคลื่อนการพัฒนาเยาวชนแและประชากรวัยแรงงานของประเทศไทย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา (7-8 กันยายน) ว่าเพื่อนำแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นจากการสำรวจทักษะและความพร้อมกลุ่มเยาวชนและประชากรวัยแรงงานในประเทศไทย
ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับหน่วยงานในภาคนโยบายต่าง ๆ ได้เข้ามาร่วมอภิปรายแลกเปลี่ยน ตลอดจนให้คำแนะนำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประมวลผลวิเคราะห์ข้อมูลให้สามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาเยาวชนและประชากรวัยแรงงานของประเทศไทยต่อไปได้
ทั้งนี้ สถานการณ์แรงงานของไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อช่องว่างทักษะแรงงานของไทยกับต่างประเทศกำลังห่างมากขึ้นเรื่อยๆ แรงงานไทยจำนวนมากมีทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของนายจ้าง ซึ่งปัญหาดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยติดอยู่กับกับดักรายได้ปานกลางมานานกว่า 20 ปี
อีกทั้งเมื่อเทียบคุณภาพแรงงานระหว่างไทยกับมาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ยังพบว่า แรงงานในประเทศเหล่านี้มีทักษะสูงกว่าแรงงานไทยคิดเป็นคิดเป็น 1.6 เท่า 3.8 เท่า 2.9 เท่า 2.6 เท่า และ 3 เท่า ตามลำดับ
นอกจากนี้ จากผลการศึกษาของ World Economic Forum พบว่า แรงงานไทยอยู่ระดับปานกลาง ส่วนใหญ่ยังขาดทักษะขั้นสูง และมีสัดส่วนการจ้างงานทักษะสูงเพียง 14.40% เท่านั้น โดยประชากร ช่วงอายุ 15-59 ปี ของไทย ประมาณ 44.81 ล้านคน เป็นผู้มีงานทำทั้งหมด 37.62 ล้านคน ในจำนวนนี้ประมาณ 75% มีระดับการศึกษาต่่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. ขณะที่ 64.9% ของแรงงานรุ่นใหม่อายุ 25-29 ปี จบไม่เกินระดับมัธยมศึกษา/ปวช.
ดังนั้นหากไม่เร่งดำเนินการประเทศไทยย่อมไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนได้ โดยมีกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการมุ่งพัฒนาทักษะแรงงานรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์ที่ตลาดแรงงานปัจจุบันต้องการแรงงานที่เรียนรู้ทักษะใหม่ที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในอนาคตจะเป็นฐานทุนมนุษย์ช่วยผลักดันประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาไม่อาจจะบรรลุผลสำเร็จได้หากปราศจากการวางนโยบายที่ชัดเจน ตอบสนองต่อปัญหา และตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เผชิญปัญหาได้ตรงจุด ซึ่งการที่จะวางนโยบายเพื่อให้เกิดแนวทางปฎิบัติที่เป็นประโยชน์มากที่สุดจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากสิ่งที่เรียกว่า ข้อมูล (data)
กสศ. จึงร่วมมือกับ World Bank, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสำนักงานสถิติแห่งชาติรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเยาวชนและประชากรวัยแรงงานอายุระหว่าง 15 – 65 ปีทั่วไทย เพื่อนำข้อมูลตรงนี้มาใช้เป็นรากฐานในการออกนโยบาย
โคจิ มิยาโมโต (Mr.Koji Miyamoto) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสด้าน Global Practice แห่ง World Bank กล่าวว่า เป้าหมายของนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นในวันนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังมีช่องว่างทักษะในกลุ่มแรงงานของประเทศ และพยายามจะนำเสนอชุดทักษะขั้นต่ำที่ควรมีเพื่อให้แรงงานไทยสามารถยกระดับตนเองให้เป็นแรงงานขั้นสูงได้
“ความสำคัญของการศึกษาในครั้งนี้ก็คือ เป็นการศึกษาที่ถูกออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าการวางนโยบายการศึกษาและการฝึกอบรมขัดเกลาทักษะอย่างมีระบบแบบแผนสามารถเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศได้อย่างไร สามารถยกระดับพัฒนาอุปสรรคความท้าทายของตลาดได้อย่างไร รวมถึงอุปสรรคความท้าทายทางสังคมอื่นๆ ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวจากประเทศรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูง ตลอดจนบรรลุแผนไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างลุล่วง”
ในมุมมองของโคจิ ประเทศไทยมีแผนพัฒนาประเทศอย่างมุ่งมั่นมากมาย ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่านโยบายด้านการศึกษาและการฝึกอบรมจะมีบทบาทสำคัญต่อแผนพัฒนาเหล่านั้น อีกทั้งนโยบายด้านศึกษาดังกล่าวยังเป็นช่องทางเชื่อมต่อไปถึงกลุ่มเยาวชนแรงงงานที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงงานต่อไป
ในส่วนของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ โคจิระบุว่าเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมุ่งเน้นไปที่การประเมินวัดผลทักษะแรงงาน (Adult Skill Accessment) ซึ่งทาง World Bank ได้นำระเบียบวิธีวิจัยที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในการเข้าถึงทักษะหลัก ๆ อย่าง Literacy Skill, Digital Skill และ Social-Emotional Skill
นอกจากนี้ ก็ยังขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลให้ครอบคลุมมากขึ้นด้วยการใช้ชุดแบบสอบถามเพื่อบันทึกประวัติภูมิหลังของแรงงาน เพื่อดูว่าทักษะฝีมือที่มีมีความสัมพันธ์กับการศึกษาและการฝึกอบรมที่แรงงานคนหนึ่งได้รับอย่างไร ตลอดจนดูถึงผลลัพธ์ของแรงงานว่ามีส่วนร่วมกับลาดแรงงานอย่างไร
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่จัดการประชุมขับเคลื่อนฯครั้งนี้ขึ้น และทุกความเห็นที่ได้รับในช่วงหลายวันนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดรายงานสำรวจทักษะและความพร้อมของกลุ่มเยาวชนและประชากรวัยแรงงานในประเทศไทยอย่างแน่นอน” โคจิกล่าว
ด้าน ดร. ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษา กล่าวว่า การจัดเวทีประชุมขับเคลื่อนในครั้งนี้ ถือเป็นงานแรกในประเทศไทยที่พยายามดูเรื่องของทักษะของประชากรในวัยแรงงานว่าอยู่ในระดับไหน โดยเน้นความสำคัญของ 3 ทักษะที่ต้องมีก็คือ ความรู้เท่าทัน (Literacy Skill) ทักษะทางดิจิทัล (Digital Skill) และทักษะทางสังคมอารมณ์ (Social Emotional Skill)
“เป็นงานที่ทำให้เราได้เห็นสภาพของแรงงานไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าแต่ละทักษะ มีด้านไหนที่ขาด ควรไปเสริมด้านไหน ซึ่งจะนำไปสู่นโยบายว่าเมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว เราจะนำไปแก้ปัญหาอย่างไรต่อเพื่อให้ทักษะแรงงานไทยสามารถเป็นไปได้ตามเป้า เช่น จะเพิ่มทักษะทางดิจิทัล หรือทักษะทางอารมรณ์สังคมตรงไหน โดยตรงนี้ก็มีทางนำไปปรับใช้ได้หลายอย่าง” ดร.ภูมิศรัณย์กล่าว
นอกจากนี้ ดร.ภูมิศรัณย์ ยังกล่าวว่า งานนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฎิรูปประเทศ ในส่วนที่เป็นแกนหลักของยุทธศาสตร์พัฒนาชาติ 20 ปีในเรื่องของการศึกษา ซึ่งจะมีข้อหนึ่งที่ระบุว่า ประเทศไทยจะต้องมีการสำรวจเรื่องของแรงงาน เรื่องของคุณภาพความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นต้องมีการพัฒนาแรงงานทุก ๆ 3 ปี
“เพราะฉะนั้น งานในวันนี้ก็เป็นการเริ่มต้นของการเก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งน่าจะเอาไปใช้ประโชน์ได้เยอะ แล้วก็คงจะไม่ใช่ครั้งเดียว แต่น่าจะมีครั้งต่อไป และแน่นอนว่า การพัฒนาทักษะแรงงานย่อมมีส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำ เพราะแรงงานมีทักษะดี มีค่าตอบแทนดี ก็ย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี กสศ.ก็จะคอยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการจัดทำเก็บข้อมูล ทำระบบฐานข้อมูลให้นักวิจัยนำไปใช้ได้ หรือว่าให้ประเทศไทยมีข้อมูลที่สามารถนำไปวิเคราะห์เรื่องสถานการณ์แรงงานของไทยต่อไปได้” ดร.ภูมิศรัณย์กล่าว
ขณะที่ คุณโคจิ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก World Bank ปิดท้ายด้วยการตอกย้ำให้เห็นถึงพลังของข้อมูล โดยยกตัวอย่างของกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ (OECD) ซึ่งมีการศึกษาจัดทำข้อมูลประชากรในวัยแรงงาน ทำให้สามารถวางนโยบายเพื่อแก้ข้อพร่องของตนเองได้อย่างตรงจุด
“ในฐานะประเทศรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง ไทยถือเป็นประเทศแรกๆ ที่เดินหน้าจัดทำข้อมูลทักษะแรงงานในส่วนนี้อย่างจริงจัง ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อมั่นว่าไทยจะสามารถนำข้อมูลจากการศึกษาในครั้งนี้ไปขยายผลต่อยอดในการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน (ไทยแลนด์ 4.0) ต่อไป ทั้งยังจะเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายอีกทางหนึ่งด้วย” โคจิกล่าว
สำหรับการประชุมขับเคลื่อนฯตลอด 3 วันที่ผ่านมา มาหน่วยงานภาคนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เยาวชน และแรงงานเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น พร้อมร่วมแสดงความคิดเห็นให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนอย่างจริงจัง
โดยหน่วยงานที่เข้าร่วมสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักคือ ภาคการศึกษา, กระทรวงแรงงาน และภาควิชาการและองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาติ (UNICEF)
สำหรับมุมองความเห็นในครั้งนี้ ทางผู้จัดทำจะไปปรับใช้ในการประมวลผลเรียบเรียงข้อมูลเพื่อจัดทำเป็นรายงานและจะนำเสนอในช่วงปลายปีนี้ต่อไป