เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2568 ศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. จัดงานสัมมนา “ติดตามและเข้าใจสถานการณ์นโยบายการศึกษาไทย” เพื่อนำเสนอผลการศึกษาจากโครงการวิจัยศึกษาพลวัตของสถานการณ์นโยบายด้านความเสมอภาคทางการศึกษาของประเทศไทย ณ โรงแรมอัศวินแกรนด์ คอนเวนชัน กรุงเทพฯ
การติดตามนโยบายด้านการศึกษาที่มีบทบาทกับการสร้างความเสมอภาคด้านการศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อ ติดตามสถานการณ์ความก้าวหน้าของการผลักดันนโยบายด้านความเสมอภาคทางการศึกษา นำไปสู่องค์ความรู้เพื่อทำความเข้าใจพลวัต และระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางนโยบาย (Policy Process) โดยคณะผู้วิจัยประกอบด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แก่ ผศ.ดร.วงอร พัวพันสวัสดิ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ.ชานนทร์ เตชะสุนทรวัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.ธร ปีติดล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ผศ.ดร.เฉลิมพงษ์ คงเจริญ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งได้ติดตามนโยบาย 4 ด้าน ในช่วงระหว่างปี 2566 ถึงกลางปี 2568 ได้แก่
1.การลดภาระครู
2.เงินอุดหนุนรายหัวด้านการศึกษา
3.เทคโนโลยี
4.นโยบายเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout)

การติดตาม พบว่า มีนโยบายที่ประสบความสำเร็จ เช่น นโยบายการยกเลิกครูเวร ที่ช่วยลดภาระครูได้บางส่วน และนโยบาย Thailand Zero Dropout ที่สามารถรวมข้อมูลติดตามสถานะเด็กได้ในทุกจังหวัด ในขณะที่นโยบายด้านเทคโนโลยีในชื่อ Anywhere Anytime ประกอบด้วยการแจกอุปกรณ์ดิจิทัลและการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ยังคงมีความล่าช้าต่อเนื่อง ทั้งยังขาดการเตรียมความพร้อมเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้จริง เช่น การวางแนวทางให้ครูทำหน้าที่กำหนดเงื่อนไขในการใช้งานอุปกรณ์และแพลตฟอร์มกับนักเรียน
ในทางกลับกัน ยังมีหลายนโยบายที่ควรได้รับการดำเนินการแต่ยังขาดการผลักดัน เช่น การปรับโครงสร้างของเงินอุดหนุนรายหัวด้านการศึกษาเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างนักเรียนยากจนกับนักเรียนทั่วไป การแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับภาระหน้าที่ด้านธุรการของครูที่จะช่วยลดภาระครูได้ และการส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์ให้เพียงพอโดยเฉพาะกับนักเรียนยากจนในพื้นที่ห่างไกล
งานวิจัยยังพบว่า ปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้อง ส่งผลต่อความก้าวหน้าของนโยบายด้านการศึกษา มาจากทั้งระบบการเมืองและระบบราชการในด้านการเมือง การหนุนเสริมนโยบายโดยผู้นำทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง-ศึกษาธิการ หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี เป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จของนโยบาย อย่างไรก็ตาม จากการสังเกตของคณะผู้วิจัยพบว่าฝ่ายการเมืองมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนโยบายที่เกิดผลสำเร็จในระยะสั้น (Quick Win) ทำให้นโยบายที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการบรรลุผลมักไม่ค่อยถูกเลือกมาผลักดัน
อีกหนึ่งข้อสังเกตพบว่า ระบบราชการของกระทรวงศึกษาธิการมักกำหนดเงื่อนไขที่อาจจะเป็นอุปสรรคที่ทำให้การผลักดันนโยบายทำได้ยากขึ้น ด้วยคุณลักษณะบางประการของระบบ เช่น การอิงอำนาจกับกฎระเบียบและการทำงานที่ยึดติดกับหน้าที่ประจำทำให้ไม่ยืดหยุ่นต่อการผลักดันนโยบายใหม่ ๆ โครงสร้างที่แยกอำนาจและการทำงานออกจากกัน ทำให้ขาดความสามารถในการประสานงานให้นโยบายบรรลุผล และการสั่งงานที่ขึ้นอยู่กับส่วนกลางมักจะทำให้นโยบายขาดการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ แต่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้ ระบบราชการก็สามารถมีบทบาทเอื้อต่อการผลักดันนโยบายได้ เช่น การทำหน้าที่สะสมความรู้และการเตรียมข้อมูลสำหรับการผลักดันนโยบาย



จากการวิเคราะห์ของคณะผู้วิจัย พบว่า แนวทางที่สำคัญที่ภาคีด้านการศึกษาจะร่วมขับเคลื่อนนโยบายเพื่อความเสมอภาคด้านการศึกษาได้สำเร็จ ประกอบด้วย
1. ร่วมจุดประเด็น จะต้องร่วมกันจุดประเด็นให้กับฝ่ายการเมืองเข้ามาสนใจและผลักดัน เพื่อตอบสนองกับปัญหาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับประเด็นนโยบายที่เป็นประโยชน์มากแต่เห็นผลได้ช้า
2. สร้างองค์ความรู้ ฝ่ายการเมืองแม้จะมีความสนใจกับนโยบายการศึกษา แต่ก็อาจขาดองค์ความรู้ในเชิงลึกเกี่ยวกับนโยบายที่ต้องการผลักดัน จึงต้องมีการเตรียมองค์ความรู้ไว้คอยเสริมการผลักดันนโยบายที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น การสะสมข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับสภาพปัญหา และการเตรียมพร้อมในด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนนโยบาย
3. ผลักดันการเปลี่ยนแปลงระยะยาว เนื่องจากบริบททางการเมืองที่รัฐมนตรีศึกษามักจะอยู่ในตำแหน่งได้เพียงไม่นาน ทำให้นโยบายที่เห็นผลได้ช้ามักจะไม่ถูกผลักดัน โดยเฉพาะนโยบายที่เน้นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ภาคีควรร่วมกันย้ำเตือนประเด็นการเปลี่ยนแปลงระยะยาวไม่ให้หายไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และควรร่วมผลักดันการเปลี่ยนแปลงในกลไกราชการ เช่น การตรากฎหมายหรือการสร้างหน่วยงานที่จะช่วยวางรากฐานการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไว้ในระยะยาวได้
4. พัฒนาเครือข่าย แนวทางที่สำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยเฉพาะกับหน่วยงานที่อยู่นอกกลไกการเมืองและระบบราชการ คือการมุ่งขยายเครือข่ายภาคีที่มีเป้าหมายในการพัฒนาระบบการศึกษาไทย โดยประสานเครือข่ายให้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และจะต้องดึงบุคลากรในระบบราชการและการเมืองเข้ามามีส่วนกับเครือข่าย เพื่อถ่ายทอดการตระหนักรู้ถึงปัญหาและสื่อสารกระบวนทัศน์ทางนโยบายไปสู่ตัวละครที่มีบทบาทกับการขับเคลื่อนนโยบายโดยตรงได้
5. เปิดช่องทางการมีส่วนร่วม เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของกระบวนการทางนโยบายในการศึกษาไทยที่พึ่งพิงการคิดและสั่งการจากส่วนกลาง แต่ขาดช่องทางการรับฟังและการตอบสนองปัญหาจากตัวละครในระดับพื้นที่ เช่น ครู นักเรียน ผู้ปกครอง แนวทางที่ควรต้องผลักดัน คือ จะต้องทำให้กระบวนการทางนโยบายในการศึกษาไทยเปิดช่องทางการมีส่วนร่วมให้กับตัวละครในระดับพื้นที่ตั้งแต่การออกแบบนโยบายจนไปถึงการขับเคลื่อนและการปรับปรุงนโยบายให้มากกว่าที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ยังมีการร่วมเสวนา โดย ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข คณบดีคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ และครูทิว ธนวรรธน์ สุวรรณปาล กลุ่มครูขอสอน ต่อผลการศึกษาในครั้งนี้ ว่า สามารถจุดประเด็นนำไปสู่การวิพากษ์เชิงโครงสร้าง อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงการออกแบบและการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษา รวมถึงชี้ให้เห็นนโยบายเชิงอำนาจ ซึ่งที่ผ่านมานโยบายด้านการศึกษาเน้นเทคนิคเป็นส่วนใหญ่

ในช่วงท้าย รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า งานสัมมนาครั้งนี้เป็นการจุดประเด็นครั้งสำคัญที่ชี้ให้เห็นความหลากหลายของโจทย์ และความซับซ้อนของปัญหา นำไปสู่การขับเคลื่อนและคลี่คลายปัญหาด้านการศึกษา ซึ่งคอขวดที่สำคัญในแวดวงวิชาการ ยังขาดนักวิจัยเชิงนโยบาย โดยเฉพาะในสาขาที่ผลิตครู นอกจากนี้ยังกล่าวถึงโครงการ Thailand Zero Dropout ที่กระทรวงศึกษาธิการเริ่มทำเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มขับเคลื่อนแนวทางการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น ที่มีในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แต่ยังไม่ปรากฏในเชิงนโยบาย เนื่องจากกฎหมายยังไม่ถูกใช้งานอย่างเต็มที่ จึงเป็นการเปิดประตูในการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทย เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างกลไกขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาครั้งสำคัญร่วมกับภาคีเครือข่ายต่อไปในอนาคต

