หมายเหตุ* งานเขียนนี้เปิดเผยรายละเอียดของภาพยนตร์สารคดี
คน 660 ล้านชีวิตทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำที่ดี 2,400 ล้านคน ขาดระบบสุขาภิบาลที่ถูกสุขอนามัย ในจำนวนเหล่านี้มีชีวิตของเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม เด็กเหล่านั้นยิ่งยากจนยิ่งได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะน้ำสะอาดมีราคาที่ต้องจ่าย ชีวิตที่ดียิ่งมีมูลค่ามหาศาล ทั้งที่โดยหลักคิดแล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลก ควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดีอย่างเท่าเทียมกัน
การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมทำได้หลายวิธี Swarovski Waterschool ซึ่งเริ่มต้นที่ออสเตรียเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว เลือกใช้การสอนและทำกิจกรรมกับเด็กๆ ทั่วโลกเพื่อให้เห็นความสำคัญของทรัพยากรน้ำ
Waterschool เป็นสารคดีที่ฉายบน NetFlix ความยาวราว 1 ชั่วโมง ซึ่งพาเราไปสัมผัสชีวิตเด็กๆ จาก 6 พื้นที่ซึ่งสัมพันธ์กับแม่น้ำ 6 สายหลักของดาวเคราะห์สีน้ำเงิน จากแม่น้ำแอมะซอน ดานูบ คงคา มิสซิสซิปปี แยงซี และแม่น้ำไนล์
ความเหมือนของแม่น้ำ 6 สายคือ สายธารกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก แต่อย่างน้อยเราพบว่า ความฝันของเด็กๆ ยังไม่เสื่อมทรุดตามลงไป พวกเขายังเชื่อว่า โลกดีกว่านี้ได้ กระนั้นคำถามสำคัญของสารคดีเรื่องนี้ก็คือ “ใช่หรือไม่ว่า ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาไม่ได้วัดด้วยจำนวนเงินแต่เพียงอย่างเดียว?”
แอมะซอน, บราซิล
“โรส เคลลี ดา ซิลวา ซานโตส” วัย 15 ปี อยู่ที่ปิราคาโอเอรา เด ซิมา (Piracãoera de Cima) ในเมืองวาร์เซีย (Várzea) บ้านของเธออยู่ริมฝั่งแม่น้ำแอมะซอน (Amazon) มหานทีและผืนป่าอันยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
แม้แม่น้ำและป่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่บ้านของ โรส เคลลี ค่อนไปทางยากจน เธอเกลียดฤดูฝนของแอมะซอน เพราะน้ำจะเอ่อท่วมถึงใต้ถุนบ้าน และน้ำนั่นจะพาแมลง แมงมุม งู บุกเข้าไปเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ถ้าเผลอเหยียบอาจต้องโดนพิษร้าย ยามหลับนอนจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
“ไม่ดีเลย มันแย่มากค่ะ”
ถึงจะเกลียดช่วงเวลาดังกล่าวเพียงใด แต่อีกแง่หนึ่งเธอก็รักที่นั่น เพราะมันคือบ้านเกิด และถึงที่สุด แม่น้ำก็ให้ประโยชน์กับผู้คนมากมาย รวมทั้งครอบครัวของเธอ
“แม่น้ำแอมะซอนมีความสำคัญกับโลกมาก เพราะในเขตของเรา แทบทุกชุมชนต้องใช้น้ำจากที่นั่น ถ้าไม่มีน้ำจากแอมะซอน พวกเราจะดำรงชีวิตอย่างไร”
เมืองซังตาเรม์ (Santarém) ซึ่งอยู่ภาคตะวันตกของรัฐปารา (Pará) ประเทศบราซิล ที่นั่นคือจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย คือแอมะซอน และตาปาฌอช (Tapajós) ซีกหนึ่งของการพบกันแม่น้ำเป็นสีขุ่นโคลน ส่วนอีกด้านคือสีเขียวครึ้ม
แม่น้ำมีรอยต่อ แต่ความฝันของผู้คนนั้นไร้พรมแดน วันหนึ่งเด็กๆ จาก 5 โรงเรียนละแวกนั้นถูกดึงเข้ามาร่วมทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน สำคัญกว่านั้นคือการร่วมเรียนรู้ความหลากหลายทางชีวภาพ
‘ผืนดินคือกายา สายน้ำคือโลหิต อากาศคือลมหายใจ ไฟคือจิตวิญญาณ’
มือเกี่ยวร้อย เพลงถูกร่ำร้อง เด็กๆ ร่ายรำในวงล้อมของกันแลกัน ก่อนออกเดินทางเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในกลางป่าแอมะซอน หากบทเพลงมีความหมายเช่นนั้นจริง บางหมุดหมายของการเดินทางกำลังบอกพวกเขาว่า เลือดกำลังเหือดแห้งเกรอะกรัง
“พระเจ้า! น้ำหายไปไหนหมด” เด็กหญิงคนหนึ่งกระซิบเสียงดัง เพราะเบื้องหน้าตรงนั้นที่เคยเป็นน้ำพุกลางป่า บัดนี้คงเหลือเพียงลานดินขนาดย่อมที่หาน้ำสักหยดไม่มี
ถัดจากนั้นอีกไม่ไกล คือผืนดินแล้งไร้กลางป่าแอมะซอน
“คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับที่ตรงนี้” ลูซิเนเด ปินเนโร (Lucineide Pinheiro) ผู้ประสานงาน Swarovski Waterschool ถามเด็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า
ซามารา เด็กหญิงจากอัลเตอร์ ดู เชา (Alter do Cháo) คะเนจากสายตาแล้วพูดว่า ที่นี่อาจเกิดการตัดไม้ทำลายป่าเป็นอย่างมาก และมีการใช้สารเคมีทำลายสรรพชีวิต ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป แอมะซอนที่สวยงามอาจกลายเป็นทะเลทรายในวันหนึ่ง
ข้อความช่วงท้ายจากบราซิล ทำให้เรานึกถึงช่วงเริ่มต้นของที่นั่น มันเป็นเสียงพูดของ โรส เคลลี ดา ซิลวา ซานโตส วัย 15 ปี
“ตัดไม้ทำลายป่า ไฟป่า และมลพิษ ทำให้โลกถูกทำลาย สิ่งที่มนุษย์ทำอยู่ทุกวันนี้มันน่าเศร้า ไม่มีการนึกถึงผลที่ตามมา ทั้งที่มันกระทบกับทุกคน”
ดานูบ, ออสเตรีย
หิมะขาวโพลนปกคลุมคาลส์ (Kals) รัฐทิโรล (Tyrol) ประเทศออสเตรีย เด็กๆ กลุ่มหนึ่งเดินเรียงแถวใช้ trekking poles ดันเนินหิมะบนภูเขากรอสส์กลอคเนอร์ (Grossglockner) แอนนา บรูกเกอร์ (Anna Brugger) ผู้ประสานงาน Swarovski Waterschool ชวนเด็กๆ เหลียวมองรอบข้างแล้วตั้งคำถามถึงสิ่งที่ปรากฏรอบกาย
“ใต้ธารน้ำแข็งมีอะไร”
“ก้อนหิน”
“แล้วก้อนหินมีสีอะไร”
“น้ำเงิน…”
“น้ำเงินเทา ถ้ามองไปรอบๆ มันจึงดูมืดทีเดียว แล้วในฤดูหนาว สีมืดๆ เข้มๆ ช่วยอะไรเราได้บ้าง… เหมือนที่สัตว์มีขนสีเข้มๆ ไง”
“เพิ่มความอบอุ่น”
“ใช่ ทำให้อุ่น เพราะสีเข้มดูดซับความร้อนจากแสงแดดมาเก็บไว้ได้ แต่มันก็น่าเศร้าเพราะถ้าดวงอาทิตย์ส่องไปที่หินสีเข้ม ตรงที่ธารน้ำแข็งหายไป ผิวหน้าของหินสีเข้มก็จะทำให้ธารน้ำแข็งรายรอบนั้นร้อนขึ้นมาได้ และนั่นจะทำให้เกิดผลกระทบที่ลุกลามกระทั่งไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป เพราะพื้นที่ของหินสีดำโผล่มามากเกิน”
บทสนทนาระหว่างแอนนา กับเด็กๆ นำมาสู่ข้อสรุปที่หลายคนต้องก้มหน้า
เซลินา เบอร์เกอร์ไวซ์ (Selina Bergerweiss) วัย 12 ปี อาศัยอยู่ในคาลส์ เธอเป็นพี่สาวของน้องชายอีก 3 คน อาจจะเป็นความติดพันจากภูเขาลูกนั้นจึงนำมาสู่บทสนทนาเรื่องการใช้น้ำในตอนนี้ ช่วงกลางวันคนที่ให้คำตอบคือ แอนนา บรูกเกอร์ แต่ในวงล้อมของมื้อค่ำนี้เธอมีพ่อกับแม่คอยให้คำตอบ
“ธารน้ำแข็งลดลงปีละประมาณ 50 เมตร ใช่ไหมคะ”
“ใช่”
“นี่เป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ”
“ใช่ ลูกแค่ต้องดูระดับธารน้ำแข็งปาสแตซ์ (Pasterze) ใช่ไหม”
“ใช่”
“พ่อยังจำได้ว่าธารน้ำแข็งยาวขนาดไหนตอนพ่อเด็กๆ มันสวยมากๆ”
จบถ้อยคำจากพ่อ แม่วางมือจากการตักอาหารแล้วเล่าต่อ
“ใช่ นึกดูสิว่าเราใช้น้ำอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ กันขนาดไหน เราเปิดก๊อกมาก็ดื่มได้เลย ประเทศอื่นต้องเอามาต้มก่อนด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้น้ำสะอาดมาง่ายๆ เหมือนเรา”
เซลินายิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่กว้างเต็มแก้มนัก
คงคา, อินเดีย
บ่อน้ำเล็กๆ ในเมืองบารัตปุระ (Bharatpur) รัฐราชาสถาน (Rajasthan) ตอนเหนือของประเทศอินเดีย ถูกผู้หญิงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตักแล้วเทใส่โถ โถแรกถูกยกเทินขึ้นบนหัว โถที่สองวางซ้อนเป็นสองชั้น ในทัศนะของปูนัม (Poonam) ความยากลำบากที่สุดในชีวิตก็คือการเกิดมาเป็นผู้หญิง
ปูนัม แต่งงานตั้งแต่ยังสาว ตอนนี้เธอเป็นแม่บ้าน และเป็นแม่ของลูกชายวัย 7 เดือน หลังแต่งงานเธอต้องจบเส้นทางการเรียนทันทีเพราะบ้านของสามีไม่อนุญาต
“พวกเขาคิดว่าเสียเวลาเปล่า ก็เลยไม่ให้เรียน”
หลายปีก่อน ปูนัมเรียนรู้เรื่องความสำคัญของน้ำและทรัพยากรธรรมชาติจากโครงการของ Swarovski Waterschool แม้วันนี้จะผ่านมาแล้วถึง 7 ปี แต่ความตระหนักรู้ไม่สูญสลาย
สันกีทา กุมารี (Sangeeta Kumari) อาจารย์ Swarovski Waterschool เล่าว่า หลายหมู่บ้านมีน้ำใช้ไม่เพียงพอ ผู้หญิงหลายคนต้องทิ้งลูกไว้ที่บ้านออกเดินทางกว่า 1 กิโลเมตรเพื่อไปเอาน้ำ 2 โถ สิ่งที่ปูนัมทำก็คือการสร้างความเข้าใจให้คนที่บ้านและชุมชนเพื่อให้ทุกคนใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
ด้วยความรู้ที่นำไปสู่การปฏิบัตินี้เองที่ทำให้บางครั้งปูนัมเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นแม่บ้านไปเป็นครูอาสา
ในห้องเรียน เด็กๆ วาดรูปบ้าน เมฆ พระอาทิตย์ ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ ไว้บนกระดาน ปูนัมชวนเด็กๆ มองความเชื่อมโยงเพื่ออธิบายว่าหากสิ่งหนึ่งหายไปก็จะกระทบกับสิ่งหนึ่ง
“แม่น้ำสำคัญกับเราอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีแม่น้ำอยู่แถวนี้”
“เราก็จะไม่มีน้ำ”
“ทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกัน เราเอาสิ่งที่ได้เรียนวันนี้ไปบอกคนอื่นๆ ด้วยได้ไหม”
“ได้”
เมืองบารัตปุระ บ้านของปูนัมมีน้ำสะอาดสำหรับใช้อุปโภคบริโภคอย่างจำกัด ขณะที่แม่น้ำคงคาซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 500 กิโลเมตร ก็กำลังถูกคุกคาม โดยเฉพาะการก่อมลพิษจากน้ำมือมนุษย์
มิสซิสซิปปี, สหรัฐอเมริกา
โรงเรียนประถมเลิฟจอย (Lovejoy Elementary School) ในบรูคลิน รัฐอิลลินอยส์ (Illinois) สหรัฐอเมริกา กำลังมีการจำลองสถานการณ์น้ำผ่านการทำห้องแล็บง่ายๆ โดยใช้บีกเกอร์ กระบอกตวง หลอดทดลอง ดรอปเปอร์ และน้ำโยกย้ายถ่ายเทเป็นสัดส่วน ทั้งหมดเพื่ออธิบายให้เด็กๆ ฟังว่า ปริมาณน้ำทั้งโลกเป็นน้ำเค็ม 97 เปอร์เซ็นต์ อีก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้ำจืด และใน 60 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำจืดคือน้ำแข็ง
“น้ำจืด 40 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือนั้นเราหาได้จากที่ไหน”
“แม่น้ำมิสซิสซิปปี”
“ใช่ แม่น้ำของเรา”
กระบวนการทดลองนำไปสู่ขั้นสุดท้ายคืออธิบายว่า น้ำสะอาดที่เรามีเพียงพอที่จะใช้ก็เพียงแค่หยดเดียวเท่านั้น เพราะที่เหลือคือน้ำที่มีการปนเปื้อน
นักเรียนในเลิฟจอยเป็นเด็กยากจนพิเศษ ทั้งหมดต้องพึ่งพาอาหารกลางวันแจกฟรี หรืออาหารราคาถูก ด้วยความด้อยโอกาสทำให้เด็กๆ ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้อย่างที่ควรจะเป็น กระนั้นอย่างน้อยเขากำลังเรียนรู้เพื่อตระหนักถึงความสำคัญของแม่น้ำมิสซิสซิปปี ซึ่งอยู่ใกล้ในระยะสายตา
มายคีลา (Mykela) อายุ 12 ปี นั่งอยู่ในห้องเล็กๆ ของบ้านหลังน้อย รอบข้างคือน้องๆ ที่กำลังฟังเธอเอาความรู้จากห้องเรียนมาอธิบายอีกทอดว่าน้ำสะอาดเดินทางมาถึงบ้านหลังนี้ได้อย่างไร
“เราใช้น้ำจากแม่น้ำมิสซิสซิปปีมากที่สุด ไม่ว่าจะเพื่อดับเพลิง ใช้อาบ พวกเธอ (น้องๆ) คงคิดว่ามันต้องมีฉลามหรือโลมาในมิสซิสซิปปีด้วยใช่ไหม อันที่จริงไม่มีหรอก มีแต่ปลาและสัตว์อื่นๆ”
“แปลว่ามีปลาอยู่ในน้ำที่เราอาบด้วยเหรอ” น้องชายถามด้วยความสงสัย
“ไม่มี”
“ก็พี่บอกว่าเราดื่มน้ำจากแม่น้ำ แล้วเราดื่มปลาไปด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ๆ มันผ่านกระบวนการกรอง ทำความสะอาดแล้ว ก่อนที่จะส่งผ่านระบบท่อมาให้เราใช้ที่บ้าน”
พี่สอนน้อง ขณะเดียวกันพี่ก็ต้องการความรู้จากพ่อ เพราะในฐานะผู้มาก่อน พ่อน่าจะอธิบายได้ดีว่าแม่น้ำสำคัญกับชีวิตของผู้คนอย่างไร
มายคีลา คุยกับพ่อผ่าน video call
“พ่อคะ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมิสซิสซิปปีไหมคะ”
“มีสิ มันคือชีวิตของเราเลย แม่น้ำหมายถึงชีวิต ทำให้เรามีงานทำ มีชีวิตมากมายที่ต้องพึ่งพาแม่น้ำ เหมือนแม่น้ำสายอื่นในสหรัฐอเมริกา มีบางแห่งในโลกที่คนต้องตายเพราะไม่มีน้ำดื่ม มันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องตระหนักว่า แม่น้ำของเรานั้นทำให้เรามีน้ำจืดใช้ มิสซิสซิปปีจึงหมายถึงชีวิต ถ้าไม่มีน้ำเราก็ตาย เอาล่ะลูกรัก”
“หนูรักพ่อค่ะ”
“พ่อรักลูกเหมือนกัน ค่อยคุยกันใหม่นะ”
หลังร่ำลาคู่สนทนาที่ปลายสาย มายคีลายกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตา
แม้ชุมชนละแวกนี้จะอยู่ห่างจากมิสซิสซิปปีเพียงไม่ถึงกิโลเมตร แต่ชุมชนกับแม่น้ำก็ดูเหมือนแปลกแยก เพราะแม่น้ำมีโรงงานอุตสาหกรรม และกำแพงมากมายขวางกั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนในบรูคลินกับแม่น้ำมิสซิสซิปปีจึงห่างเหิน เด็กๆ จำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสายน้ำสำคัญอย่างไร กระทั่งแค่จะเอามือแตะผืนน้ำ มายคีลายังต้องรอถึงวันที่เรียนเกรด 6 จึงจะมีโอกาสเข้าใกล้สายเลือดของเมืองจริงๆ
“ไปแตะกันเลย อยากแตะไหม อย่าลงไปทั้งตัวนะ แค่เอื้อมมือแตะก็พอ” แม่ของมายคีลาพูดไล่หลังเด็กๆ
“เย็นจัง” เสียงพูดหลังสัมผัสแรกของเด็กหญิงวัย 12 ปี ขณะคลื่นเล็กๆ จากแม่น้ำมิสซิสซิปปีเลียมาถึงมือเธอ
แยงซี, จีน
มณฑลเซียงไฮ้ ประเทศจีน เดซี เกอ (Daisy Ge) อายุ 10 ขวบ ดำรงตำแหน่ง water agent ทำหน้าที่จดมิเตอร์น้ำของโรงเรียน หากวันไหนตัวเลขการใช้น้ำสูงขึ้นผิดปกติ เธอจะคอยเตือนเพื่อนๆ ให้ช่วยกันประหยัด
ไม่เพียงทำเรื่องประหยัดน้ำในโรงเรียน เดซี เกอ และเพื่อนมีโจทย์ที่ต้องทำวิจัยภาคสนาม คอยสอบถามผู้ใหญ่ที่เดินขวักไขว่ตามท้องถนน เพื่อเข้าใจวิธีคิดของเขาและโน้มน้าวให้ผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมกับแนวคิดนี้
“ขอโทษนะคะ ช่วยทำแบบสอบถามเรื่องน้ำให้หน่อยได้ไหมคะ” คนแรกผ่านไป ไม่แม้แต่จะตอบรับหรือปฏิเสธ
“พี่คะ ช่วยทำแบบสอบถามให้หน่อยได้ไหมคะ”
“แบบสอบถามเรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับน้ำค่ะ”
“ทำแล้วจะได้เงินไหม”
“ไม่ได้ค่ะ”
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่ทำ”
คนแล้วคนเล่า น้อยคนนักที่ให้ความสนใจ แต่เด็กๆ พยายามมากพอที่จะได้เห็นว่า ยังมีผู้ใหญ่จำนวนมากเห็นความสำคัญของทรัพยากรน้ำ
“คุณยายอยากช่วยประหยัดน้ำไหมคะ”
“อยากสิ แน่นอน มันดีต่อโลกของเรานี่”
หัวข้อสนทนาเรื่องไหลรินไปถึงที่บ้าน มันควรจะเป็นมื้อค่ำธรรมดา แต่เด็กหญิงก็ชวนพ่อของเธอคุยเรื่องมลพิษทางน้ำ
“สมัยก่อนแม่น้ำซูโจวสกปรกมาก แต่ด้วยนโยบายของรัฐบาล คนเลยเลิกทิ้งขยะลงแม่น้ำแล้ว เคยมีโรงงานปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำด้วย แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว
“เราต้องประหยัดน้ำรู้ไหม” สิ้นเสียงเล่าเรื่องของผู้เป็นพ่อก็ต่อด้วยคำถามชวนคิด
“การประหยัดน้ำเริ่มมาจากหนูค่ะ”
“ถูกต้อง”
เด็กหญิงยิ้ม ตาเป็นประกาย ก่อนเปลี่ยนเป็นหน้าละห้อยเมื่อเห็นว่าแม่ยังทำกับข้าวไม่เสร็จ
เซียงไฮ้คือปลายทางของแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดของประเทศจีน ที่ผ่านมาประสบปัญหามลพิษรุนแรงจากการปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ แม้รัฐบาลจีนจะประกาศบทลงโทษขั้นรุนแรง แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าแม่น้ำจะได้รับการฟื้นฟูให้ดีขึ้น ถึงกระนั้นเดซี เกอ วัย 10 ขวบก็ยังมีความหวังว่าโลกนี้จะดีขึ้นในสักวัน
ไนล์, อูกันดา
บูเยงเว (Bujengwe) ประเทศอูกันดา เสียงกลองดังก้องทั่วโรงเรียน เสียงเด็กๆ ร้องเพลงประสานเสียงข้ามขุนเขา ในวงล้อมของเด็กๆ มี ไอเนมบาบาซี เอสเธอร์ (Ainembabazi Esther) วัย 13 ปี เป็นศูนย์กลาง
“คนในบวินดีมีงานทำ เพราะมีอุทยานแห่งชาติ
เมื่อเราเพาะปลูกบนเนินเขา เราควรทำเป็นขั้นบันได
และให้มั่นใจว่ามีร่องน้ำ เพื่อการระบายน้ำที่ดี
เราควรดูแลรักษา หนองน้ำและทะเลสาบของเรา เฮ…”
เอสเธอร์ เรียนไม่ค่อยเก่ง แต่เธอชอบทำกิจกรรม ครูจึงให้เธอเป็นผู้นำในงานสุขอนามัยของโรงเรียน
แชริตี บวิซา (Charity Bwiza) ผู้ประสานงาน Swarovski Waterschool เล่าว่า ที่บูเยงเวมีปัญหาเรื่องสุขภาพอันเนื่องมาจากการใช้น้ำ เกิดโรคอุจจาระร่วง ไทฟอยด์ อันเนื่องมาจากการดื่มกินน้ำสกปรก ซึ่งนั่นนำมาสู่ปัญหาด้านการเรียน เพราะเมื่อเด็กป่วย พวกเขาต้องขาดเรียน และนั่นส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กๆ ในที่สุด
“แม่น้ำของเราสกปรก มีคนซักผ้าในแม่น้ำ อาบน้ำในแม่น้ำ วัวดื่มน้ำในแม่น้ำ รถก็ล้างในแม่น้ำ คนที่อยู่ปลายน้ำก็ไปตักน้ำเหล่านั้นมาประกอบอาหาร”
น้ำไม่ได้เป็นปัญหาเดียวของอูกันดา เด็กสาวและผู้หญิงจำนวนมากต้องเจออุปสรรคมากมายในการดำรงชีวิต เด็กหญิงจำนวนมากต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน จากนั้นก็ตั้งท้อง
ดร.ชางกู มานนาโทโก (Dr.Changu Mannathoko) ที่ปรึกษานโยบายด้านการศึกษาอาวุโส ยูนิเซฟ บอกว่า เด็กๆ ต้องทำงานหนักมากเมื่ออยู่ที่บ้าน บางคนต้องเดินทางหลายกิโลเมตรเพื่อไปตักน้ำ จากนั้นกลับมาทำกับข้าว ดูแลพี่น้อง โจทย์ใหญ่ก็คือจะทำอย่างไรให้ชุมชนสนับสนุนเรื่องแหล่งน้ำที่ถูกสุขลักษณะเพื่อสุขอนามัยที่ดีของทุกคน
เพื่อทำให้เด็กๆ ได้เห็นความสำคัญของทั้งสองสิ่งพร้อมกัน คือการศึกษา และทรัพยากรน้ำ แชริตี้ บวิซา พาเด็กๆ ขึ้นรถตู้จากบูเยงเว ลัดเลาะไปถึงจินจา (Jinja) ด้วยระยะทางกว่า 600 กิโลเมตร เส้นทางนี้ไม่เพียงเปิดโลกริมหน้าต่างเท่านั้น แต่จินจามีความหมายสำคัญเพราะนี่คือต้นธารแห่งแม่น้ำไนล์
สำหรับเอสเธอร์ เด็กหญิงผู้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทวีปแอฟริกาหน้าตาเป็นอย่างไร การได้มาเห็นจุดกำเนิดของสรรพชีวิต วินาทีที่สัมผัสถึงระลอกคลื่นที่โถมซัดโขดหิน มันช่างต่างจากแม่น้ำรูโบโรกาใกล้บ้าน ซึ่งเสื่อมโทรมและสะสมเชื้อโรคเป็นอย่างยิ่ง
“โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร”
“หนูอยากเป็นพยาบาล เพราะจะได้ช่วยคน”
บางคำถามจากบวิซา และบางคำตอบจากเอสเธอร์ ทำให้นึกถึงคำพูดของ ดร.ชางกู มานนาโทโก
“เมื่อเราให้การศึกษากับเด็กๆ เหล่านี้ เท่ากับให้การศึกษากับประเทศชาติ”