‘Poor Students, Rich Teaching’ เป็นชื่อหนังสือที่เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ‘สอนเปลี่ยนชีวิต 7 ชุดความคิดพลิกห้องเรียนเพื่อเด็กทุกคน’ โดย ฐานันดร วงศ์กิตติธร และ ลลิตา ผลผลา
มองผิวเผิน อาจเข้าใจว่านี่คือหนังสือ how to ที่ว่าด้วยการจัดการภายในภายใต้ความคิดเชิงบวกแนวๆ จิตปัญญาอะไรเทือกนั้น แต่นั่นอาจถูกเพียงครึ่ง เพราะที่มากกว่านั้นคือ ทุกหน้ากระดาษบรรจุข้อมูลเชิงวิชาการ งานวิจัย ความเหลื่อมล้ำ การพูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง และเล่าผ่านประสบการณ์จริงของผู้เขียน อีริค เจนเซน ซึ่งผ่านชีวิตทุกรูปแบบตั้งแต่วัยเด็กกระทั่งเริ่มคลี่คลายเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน
วิธีคิดกระทั่งนำไปสู่วิธีการปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนห้องเรียนให้ดีขึ้น จึงไม่ได้ว่าด้วยหลักการเชิงทฤษฎีเท่านั้น แต่คลุกเคล้าไปด้วยกรณีศึกษาเต็มไปหมด แม้ทั้งเล่มจะว่าด้วยระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้แปลกแยกไปจากสภาพสังคมแบบไทยๆ สักเท่าไรนัก
การอ่านอเมริกาแม้อยู่ไกลอีกซีกโลก แต่ก็เชื่อมโยงกับระบบการศึกษาของไทยได้เกือบแนบสนิท
ผมชื่อ อีริค เจนเซน
เวลาพูดลอยๆ ว่านักวิชาการเหล่านี้จะไปเข้าใจอะไรถ่องแท้ถึงความรู้สึกได้อย่างไร อาจตั้งข้อสังเกตนี้ไม่ได้กับ อีริค เจนเซน เพราะนี่คือเด็กที่ถูกแม่ทิ้งไปตั้งแต่ 2 ขวบ พ่อกลายเป็นคนเดียวที่ทำมาหากินเลี้ยงเด็กชายพร้อมกับพี่สาวอีก 2 คน
ในวัย 6 ขวบ อีริคต้องอยู่กับแม่เลี้ยงที่ติดเหล้า และมักใช้ความรุนแรง เขาต้องอยู่กับฝันร้ายเช่นนี้ถึง 9 ปีเต็ม บางครั้งเอาตัวรอดด้วยการหนีไปอาศัยกับญาติ และกินอาหารสุนัขแทนขนม ต้องย้ายโรงเรียนตอนชั้นประถม 3 แห่ง เปลี่ยนโรงเรียนสมัยมัธยมต้น 4 แห่ง มัธยมปลายอีก 2 แห่ง เด็ก 1 คนเช่นเขาผ่านการเรียนกับครู 153 คน ชีวิตในวัยเยาว์เป็นการเอาตัวรอดไปวันๆ เท่านั้น
“แล้วผมทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้? เหตุผลแรกเลย คงเพราะผมเกิดมาผิวขาว ชีวิตแต่ละวันของผมจึงไม่เลวร้ายไปกว่าเดิม หรือถูกซ้ำเติมด้วยความเครียดจากการถูกเหยียดสีผิว ความไม่เท่าเทียมทางเพศ หรือการแบ่งชนชั้น อีกเหตุผลคือผมโชคดีที่ในช่วงอายุ 30 ผมได้รู้จักผู้ใหญ่ที่เป็นแบบอย่างอันเหมาะสม”
นอกจากชีวิตวัยเด็กที่เป็นต้นทุนสำคัญแล้ว อีริค เจนเซน ทำดุษฎีนิพนธ์เรื่องความยากจนและความด้อยโอกาส ซึ่งถูกนำไปใช้กระทั่งสร้างแรงกระเพื่อมอย่างมากกับโรงเรียนขยายโอกาสกว่า 200 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกา
ฉะนั้น ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า นี่ไม่ใช่หนังสือที่ว่ากันตามหลักวิชาการลอยๆ แต่ผสมผสานทั้งประสบการณ์ตรงของผู้เขียน และกรณีศึกษาทั่วสหรัฐอเมริกาเอาไว้ด้วย
ความยากจนในสหรัฐอเมริกา
ข้อเท็จจริงที่ชวนคิ้วขมวดก็คือ นักเรียนในโรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ของอเมริกาจัดอยู่ในกลุ่มยากจน และในเมืองที่ประชากรหนาแน่นที่สุด 5 รัฐ คือ แคลิฟอร์เนีย เท็กซัส ฟลอริดา อิลลินอยส์ และนิวยอร์ค พบว่ามีถึง 48 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นเด็กด้อยโอกาส เฉพาะปี 2016 เด็ก 2 ใน 3 ที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันคือเด็กยากจน ถึงแม้ว่ารัฐต่างๆ จะพยายามลดช่องว่างทางการศึกษา แต่ 1 ใน 3 ของรัฐทั้งหมดกลับพบความล้มเหลว
หากพิจารณาร่วมกับภาพรวมของสหรัฐอเมริกา พบว่าในระยะหลังมานี้ชนชั้นกลางเริ่มหายไป คนจำนวนมากกำลังตกงานเพราะโรงงานต่างๆ เริ่มหันมาใช้ระบบอัตโนมัติ ไม่เว้นแม้กระทั่งกิจการแบบรถบรรทุกก็เริ่มนำรถบรรทุก AI เข้ามาทดแทน ในปี 2000 รายได้ของชนชั้นกลางอยู่ที่ 57,000 เหรียญสหรัฐต่อปี แต่ปี 2014 รายได้ลดลงเหลือ 52,000 เหรียญสหรัฐต่อปี
แรงงานชาวอเมริกัน 51 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้ 30,000 เหรียญสหรัฐต่อปีเท่านั้น ขณะที่เส้นมาตรฐานของความยากจนซึ่งวัดในครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนคือ 28,410 เหรียญสหรัฐต่อปี รายได้ของคนส่วนใหญ่เฉียดเส้นยาแดงไปนิดเดียว ขณะที่ค่าครองชีพกลับเพิ่มขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ยิ่งทำให้มีเด็กยากจนและด้อยโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
เด็กยิ่งยากจน สมองยิ่งพัฒนาการช้า
สมองของมนุษย์ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่อาจหลุดลอยออกจากสิ่งที่อยู่รอบข้าง ฉะนั้นการเกิด เติบโต และใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมแบบใดจึงส่งผลต่อพัฒนาการของเซลล์สมองโดยตรง เราจึงพบว่ามนุษย์มักมีพฤติกรรมสอดคล้องกับถิ่นกำเนิด หรือที่อยู่อาศัยอยู่เสมอ และหากคนคนนั้นอยู่ ณ ที่แห่งนั้นตั้งแต่เริ่มต้นของการมีชีวิต สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นยิ่งสร้างพฤติกรรมนั้นๆ ให้แสดงออกตามมา รวมทั้งพัฒนาการทางสมองด้วย
มีงานศึกษาพบว่าสมองของเด็กด้อยโอกาสมีแนวโน้มที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับปัจจัย 4 ลักษณะ คือ หนึ่ง – ปัญหาสุขภาพจากการขาดสารอาหาร และการรับสารพิษ หรือมลพิษ สอง – ปัญหาความเครียดสะสม สาม – ทักษะการรู้คิดที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และสี่ – ปัญหาทางอารมณ์จากความสัมพันธ์
เด็กที่สมาธิสั้น ความจำไม่ดี มารยาทไม่ดี มีปัญหาด้านการอ่าน ปฏิกิริยาทางอารมณ์ผิดปกติ และใช้ความรุนแรง พฤติกรรมเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาเติบโตมาทั้งสิ้น
เมื่อเข้าสู่ชั้นเรียน หากครูมองไม่เห็นเบื้องหลังว่าเด็กแต่ละคนมีองค์ประกอบในชีวิตดีเลวต่างกันเพียงใด ก็จะนำไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียนที่ไม่ถูกต้อง บ่อยครั้งเด็กที่มาจากครอบครัวยากจนและด้อยโอกาส ก็กลายเป็นถูกครูหมางเมินในชั้นเรียน กระทั่งนำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กที่ย่ำแย่ แน่นอนว่าปลายทางของมันไม่ค่อยโสภาสักเท่าใดนัก
ถึงกระนั้น ต่อเมื่อครูเข้าใจเบื้องหลังของเด็กๆ ก็ใช่ว่าจะง่ายเสียทีเดียวในการแก้ปัญหา
หนังสือเล่มนี้บอกอะไร
Poor Students, Rich Teaching: สอนเปลี่ยนชีวิต 7 ชุดความคิดพลิกห้องเรียนเพื่อเด็กทุกคน แบ่งตัวหาออกเป็น 7 ส่วน ว่าด้วยเครื่องมือจัดการสอนทรงประสิทธิภาพที่มีผลวิจัยรองรับ
ส่วนที่ 1 ชุดความคิดสานสัมพันธ์: ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนจึงมีส่วนทำให้เด็กจบหรือไม่จบการศึกษา
ส่วนที่ 2 ชุดความคิดแห่งความสำเร็จ: นักเรียนด้อยโอกาสสามารถเรียนรู้และรักการเรียนได้อย่างไร
ส่วนที่ 3 ชุดความคิดเชิงบวก: เหมาะสำหรับครูที่หมดไฟหรือไร้กำลังที่จะมองหาความสำเร็จ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับครูที่สิ้นหวังว่าจะเปลี่ยนเด็กได้อย่างไร
ส่วนที่ 4 ชุดความคิดแห่งบรรยากาศการเรียนแบบบริบูรณ์: ครูชั้นแนวหน้าสร้างบรรยากาศในการเรียนที่เยี่ยมยอดได้อย่างไร และสภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กได้เพราะอะไร
ส่วนที่ 5 ชุดความคิดส่งเสริมศักยภาพนักเรียน: ว่าด้วยหลักฐานทางวิชาการที่จะทำให้ครูมั่นใจได้ว่า สามารถพัฒนาสติปัญญาของเด็กได้ด้วยวิธีการใดบ้าง
ส่วนที่ 6 ชุดความคิดแบบมีส่วนร่วม: นักเรียนมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอนได้ด้วยหรือ แล้วชุมชนแห่งการเรียนรู้คืออะไร
และ ส่วนที่ 7 ชุดความคิดการสำเร็จการศึกษา: นี่คือเป้าหมายสูงสุดของการศึกษา ไม่ใช่แค่เรียนจบตามที่ต้องการ แต่ยังหมายถึงการพร้อมที่จะทำงาน ศึกษาต่อ และหาทางเลือกที่ดีให้กับชีวิต
วิจารณ์ พานิช เขียนเอาไว้ในคำนำของหนังสือเล่มนี้ว่า
“หนังสือสอนเปลี่ยนชีวิต ควรเป็นหนังสือประจำห้องสมุดในโรงเรียนทุกโรงเรียน ควรเป็นหนังสือที่บังคับให้นักศึกษาสาขาครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ทุกคนต้องอ่านนอกเวลา และมีชมรมครูเพื่อศิษย์ในแต่ละคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ให้นักเรียนร่วมกันตีความหนังสือเล่มนี้เข้าสู่ชีวิตครูในอนาคตของตน และเป็นหนังสือคู่มือดำเนินกิจกรรม PLC (Professional Learning Community) ของครูประจำการในทุกโรงเรียน”
แม้จะได้รับการยกย่องถึงเพียงนั้น แต่ อีริค เจนเซน บอกว่า บนชุดความคิดที่เปลี่ยนทฤษฎีเป็นวิธีปฏิบัติเหล่านั้นจะแก้แก้ปัญหาให้กับเด็กๆ ไม่ได้เลย หากครูผู้สอนเริ่มถอดใจที่จะให้การช่วยเหลือ